สุรัตนธรรม สถาน คลินิกเวชกรรมสุรัตน์หนึ่งบาท รักษาฟรี
วันนี้ผมภรรยาได้ไปทานอาหารที่เอ็มเค เห็นพนักงานใส่ชุดนักเรียนไปเสริพอาหารที่โต๊ะด้านข้าง เหลือบไปเห็นรองเท้าที่เขาใส่ยับเยินมาก ถ้าฝนตกคงเปียกแน่ ก่อนกลับผมได้ให้พนักงานไปเรียกนักเรียนคนนั้นมาหา เด็กเดินมาพร้อมผู้จัดการด้วยท่าทีตกใจ นึกว่าผมคงจะคอมเพลน ผมถามว่ารองเท้าขาดแล้วทำไมไม่ซื้อใหม่?เขายิ้มแบบซื่อๆ..ผมยื่นให้เขา300แล้วถามว่าพอค่ารองเท้าคู่ใหม่ไหม?เขายกมือไหว้แล้วบอก.."พอครับ" ดีนะประหยัดหาเงินเองไม่เป็นภาระแก่พอแม่ ใครเป็นพ่อแม่น่าภูมิใจ ผู้จัดการร้านยิ้มดีใจขอถ่ายรูปผมกับเด็ก ท่านทั้งหลายเด็กยากจนขยันหาเงินเรียนไปทำงานไป แตกต่างจากลูกคนมีเงินไม่เห็นคุณค่าของเงินเพราะไม่เคยลำบาก วันนี้ผมมีความสุขๆที่เรียบง่ายแต่...คิดถึงทีไรปิติทุกที!!!จริงๆนะครับ
***********
- แม้จะเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่เสมอ
*******************
ผมก็คิดถึงเรื่องของน้องเขยของผม น้องเขยผมเป็นชาวอเมริกัน เขาอยากเป็นกลาสีเรือมาแต่เด็ก อยากจะเผชิญโลกกว้าง อยากจะลองเที่ยวรอบโลกแล้วค่อยกลับมาเรียนหนังสือ แม้พ่อของเขาจะเป็นหมอ ฐานะครอบครัวก็ดี แต่พ่อแม่กลับไม่ได้ให้เงินเขา และตัวเขาเองก็ไม่ได้ขอเงินจากทางบ้านด้วยเช่นกัน
พอจบชั้นมัธยมปลาย เขาก็ไปอลาสกา ทำงานตัดไม้เพื่อเก็บเงิน เนื่องจากที่อลาสกานั้น กลางวันยาวนานกลางคืนสั้น กว่าพระอาทิตย์จะตกก็เป็นเวลาเที่ยงคืน และตีสามพระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว หากเขาทำงาน 16 ชั่วโมงใน 1 วัน เงินค่าจ้างตัดไม้ของหนึ่งฤดูกาล ก็จะทำให้เขาสามารถเที่ยวรอบโลกได้ 3 ฤดูกาล เขาเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลกเป็นเวลา 2 ปี จึงค่อยกลับมาเรียนมหาวิทยาลัย
เนื่องจากเขาเรียนเลือกคณะที่ตัวเองได้ผ่านการตัดสินใจ และครุ่นคิดเลือกสรรอย่างรอบคอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงเก็บหน่วยกิตของ 4 ปีได้ครบภายในเวลาเพียง 3 ปี แล้วออกมาทำงาน
การงานของเขาดำเนินไปอย่างราบรื่น กล่าวได้ว่าก้าวหน้าเร็วมาก จนได้เป็นหัวหน้าวิศวกร
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง เขาบอกว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาทั้งชีวิตเลยทีเดียว
ตอนที่เขาทำงานอยู่ในอลาสกา ขณะที่เขากับเพื่อนคนหนึ่งอยู่บนภูเขา ก็ได้ยินเสียงหมาป่าครางโหยหวน เขาสองคนจึงออกค้นหาไปทั่วบริเวณด้วยความตกใจ สุดท้ายไปเจอแม่หมาป่าตัวหนึ่งถูกกับดักสัตว์หนีบขา และกำลังร้องครวญครางโหยหวนอยู่ เขาเห็นกับดักสัตว์หน้าตาประหลาดนั้นปุ๊บ ก็ทราบทันทีว่าเป็นของคนงานเฒ่าคนหนึ่ง คนงานเฒ่าคนนั้นมักดักจับสัตว์เป็นงานอดิเรก เพื่อจะนำหนังสัตว์ไปขายเสริมรายได้งานในครอบครัว
แต่คนงานเฒ่าคนนี้เพิ่งจะถูกเฮลิคอปเตอร์พาไปส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ด้วยอาการโรคหัวใจ ดังนั้นแม่หมาป่าตัวนี้จึงมีโอกาสอดตาย เพราะไม่มีใครมาช่วยจัดการ
เขาคิดจะปล่อยแม่หมาป่า แต่แม่หมาป่าดุมากจนไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆ ได้เลย เขายังเห็นด้วยว่าแม่หมาป่ามีน้ำนมหยดจากเต้านม แสดงว่ามีลูกอ่อนรออยู่ในรัง ดังนั้น เขากับเพื่อนจึงพยายามค้นหารังหมาป่าอย่างสุดความสามารถ และหาพบในที่สุด จากนั้นจึงอุ้มลูกหมาป่าทั้งสี่ตัวมาที่แม่หมาป่าเพื่อให้มันป้อนนมลูก ลูกมันจะได้ไม่อดตาย พวกเขาแบ่งเสบียงให้แม่หมาป่า มันจะได้รอดชีวิตต่อไป กลางคืนยังต้องตั้งแคมป์อยู่ใกล้ๆ เพื่อจะได้ช่วยคุ้มครองพวกมันได้ เพราะแม่หมาป่าโดนกับดักหนีบไว้ จึงป้องกันตัวเองไม่ได้ จนถึงวันที่ 5 ตอนที่เขาไปป้อนอาหาร พบว่าหางของแม่หมาป่ากระดิกเบาๆ จึงทราบว่าเริ่มได้รับความไว้วางใจจากแม่หมาป่าแล้ว ผ่านไปอีก 3 วัน แม่หมาป่าถึงได้ยอมให้เขาเข้าใกล้เพื่อจะได้ปลดกับดักสัตว์ออกให้
หลังจากแม่หมาป่าเป็นอิสระ ก็เลียมือของเขา ยอมให้เขาใส่ยารักษาแผลที่ขาให้ แล้วค่อยพาลูกๆ จากไป ระหว่างเดินจากไปยังหันกลับมามองพวกเขาอยู่หลายครั้ง
เขานั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่แล้วคิดว่า หากมนุษย์สามารถทำให้สัตว์ป่าที่ดุร้ายเลียมือตัวเอง และกลายเป็นเพื่อนกันได้ แล้วจะไม่สามารถทำให้มนุษย์ด้วยกันวางอาวุธลง และยอมเป็นเพื่อนด้วยได้เชียวหรือ? เขาตัดสินใจว่านับจากนี้ไปจะแสดงความเป็นมิตรแก่คนอื่นก่อน เพราะเขาได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้แล้วว่า ต้องแสดงความจริงใจของเราเองก่อน อีกฝ่ายจึงจะยอมแสดงความจริงใจตอบ (เขายังพูดล้อเล่นว่าหากไม่เป็นเช่นนี้ล่ะก็ อีกฝ่ายก็คงเทียบไม่ได้กระทั่งเดรัจฉานแล้ว)
ดังนั้น เวลาทำงานในบริษัท เขาจึงมักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ เขาจะสมมติก่อนว่าคนอื่นนั้นมีเจตนาดี แล้วค่อยไปคิดหาเหตุผลในพฤติกรรมของคนคนนั้น เขามักช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ถือสาหาความเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงได้เลื่อนตำแหน่งทุกปี และก้าวหน้าเร็วมาก ที่สำคัญที่สุดคือ เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวัน
คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมักมีความสุขกว่าคนที่ได้รับความช่วยเหลือมาก แม้เขาจะไม่ทราบว่าคนจีนมีคำกล่าวว่า "เป็นผู้ให้มีความสุขกว่าเป็นผู้รับ"
แต่ชีวิตของเขาได้ยืนยันความจริงของประโยคนี้แล้ว
เขาบอกผมว่า เขารู้สึกขอบคุณประสบการณ์ในอลาสกาอย่างมาก เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อเขาไปชั่วชีวิต
ซึ่งก็จริง มีเพียงสิ่งที่ตัวเราปรารถนาเท่านั้นที่เราจะทะนุถนอม
มีเพียงลูกพลับที่เคยผ่านน้ำค้างแข็งมาแล้วเท่านั้นที่จะมีรสหวาน
คนก็เช่นกัน ต้องผ่านการฝึกฝนขัดเกลา จึงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์
หากคนคนหนึ่งเรียนจนจบมหาวิทยาลัย แล้วยังไม่รู้อีกว่าตัวเองอยากจะทำอะไร ก็สมควรจะส่งเขาไปฝึกฝนขัดเกลาตัวเองในโลกภายนอกเสียบ้าง แล้วอย่าให้เงินเขา ให้เขาหาเงินเลี้ยงปากท้องเอง ให้โอกาสเขาไปแสวงหาตัวตนของตัวเอง และสัมผัสกับชีวิต เชื่อว่าเขาย่อมได้พบกับประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขา
****************
นักมวยสร้างบ้านให้คนจนกว่า1,000 หลัง
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1485340758182074&id=100001184910424
ึ
*****
เช่นนี้ จึงจะสมควรเรียกว่า...ยอดคน
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1314821561900662&id=100001184910424
ชายชราที่ดูยากจนและแสนธรรมดา แต่สิ่งที่เขาทำ กลับทำให้มหาเศรษฐีของโลก อย่าง Bill Gates และ Warren Buffett นับถือและนำมาเป็นแบบอย่าง
Chuck Feeney ชายชราวัย 76 ปี เช่าบ้านอาศัยอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกกับภรรยา เขาไม่เคยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม เขาไม่ชอบทานอาหารหรู ที่เขาชอบที่สุดคือแซนวิชชีสย่างมะเขือเทศที่ราคาแสนถูก เขาใช้แว่นตาเก่าๆ ใส่นาฬิกาธรรมดา และไม่มีรถขับ การเดินทางก็มักใช้บริการรถโดยสาร
หากคุณไปทานอาหารกับเขา เขาจะตรวจสอบบิลอย่างละเอียด หากคุณอาศัยอยู่ในบ้านของเขา ก่อนที่จะเข้านอน เขาจะเตือนให้คุณปิดไฟอย่างแน่นอน
คนจนที่มัธยัสถ์เช่นนี้ คุณรู้ไหม ก่อนเขาอายุ 76 เขาได้ทำอะไรมาบ้าง?
เขาได้บริจาคเงิน 588,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล โดยห้ามมหาวิทยาลัยไ่ม่ให้ประกาศชื่อผู้บริจาค
บริจาค 125,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
และบริจาค 60,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต
เขายังได้ลงทุน 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง และอีก 2 แห่งในไอร์แลนด์เหนือ
เขาจัดตั้งกองทุนการกุศล ให้ค่ารักษาพยาบาลฟรี สำหรับเด็กปากแหว่ง ในประเทศที่กำลังพัฒนา
เขาได้บริจาคเงินทั้งสิ้น 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีอีก 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ รอที่จะบริจาค
ชายชราผู้ใจกว้างมากท่านนี้ เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของ DFS บริษัทดิวตี้ฟรีอันดับ 1 ของโลก เขารักการหาเงิน แต่จะใช้เงินอย่างประหยัดมาก
ขณะนี้ Chuck Feeney มีความปรารถนาว่า ก่อนปี 2016 เขาจะบริจาคเงินที่เหลือให้หมด เพื่อจะได้ตายตาหลับ ขณะนี้เงินที่เหลืออยู่ได้กระจายไปทั่วโลกให้พื้นที่จำเป็น ในอัตรา 400,000,000 เหรียญสหรัฐ ต่อปี
เขาเป็นตัวอย่างสำหรับคนรวยที่ว่า "ในขณะที่มีความสุขกับชีวิต ให้แบ่งปันความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วย"
การทำการกุศลของ Chuck Feeney เป็นที่โด่งดังมาก ผู้สื่อข่าวจำนวนมากเดินทางมาถึงบ้านของเขา ทุกคนล้วนแปลกใจ และถามว่า "Chuck Feeney คุณมีทรัพย์สินมากมาย ทำไมถึงไม่ไปมีชีวิตที่สวยหรู..."
เพื่อตอบข้อสงสัยของทุกคน Chuck Feeney ยิ้มและบอกเล่าเรื่องราว:
"สุนัขจิ้งจอก พบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้ อยากจะเข้าไปในไร่ เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่ แต่มันอ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไปไม่ได้"
"ดังนั้นมันจึงไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน และแล้วตัวมันก็ผอมลง และมุดผ่านรั้วไปได้!"
"เมื่อกินอิ่มเป็นที่พึงพอใจแล้ว แต่…ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือก มันเลยต้องอดน้ำอดอาหาร อีกสามวันสามคืน"
"สุดท้ายแล้วท้องของมันตอนที่ออกมาก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไป"
เมื่อเล่าเสร็จ Chuck Feeney กล่าวว่า
"บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็ จากไปมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งกลับไปได้ "
สื่อถาม Chuck Feeney ทำไมต้องบริจาคออกไปจนหมด
คำตอบของเขาง่ายมาก และไม่มีใครคาดถึง เขากล่าวว่า "เพราะถุงศพไม่มีกระเป๋า"
ที่จริงแล้วความจนของเขา เกิดจากการบริจาคเงินมหาศาล เขาช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สิ่งที่เขาได้มา ได้ส่งคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด มันทำให้เขามีความสุขมากกว่ามีเงินเป็นหมื่นล้านเสียอีก...
*****
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1314821561900662&id=100001184910424
ชายชราที่ดูยากจนและแสนธรรมดา แต่สิ่งที่เขาทำ กลับทำให้มหาเศรษฐีของโลก อย่าง Bill Gates และ Warren Buffett นับถือและนำมาเป็นแบบอย่าง
Chuck Feeney ชายชราวัย 76 ปี เช่าบ้านอาศัยอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกกับภรรยา เขาไม่เคยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม เขาไม่ชอบทานอาหารหรู ที่เขาชอบที่สุดคือแซนวิชชีสย่างมะเขือเทศที่ราคาแสนถูก เขาใช้แว่นตาเก่าๆ ใส่นาฬิกาธรรมดา และไม่มีรถขับ การเดินทางก็มักใช้บริการรถโดยสาร
หากคุณไปทานอาหารกับเขา เขาจะตรวจสอบบิลอย่างละเอียด หากคุณอาศัยอยู่ในบ้านของเขา ก่อนที่จะเข้านอน เขาจะเตือนให้คุณปิดไฟอย่างแน่นอน
คนจนที่มัธยัสถ์เช่นนี้ คุณรู้ไหม ก่อนเขาอายุ 76 เขาได้ทำอะไรมาบ้าง?
เขาได้บริจาคเงิน 588,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล โดยห้ามมหาวิทยาลัยไ่ม่ให้ประกาศชื่อผู้บริจาค
บริจาค 125,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
และบริจาค 60,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต
เขายังได้ลงทุน 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง และอีก 2 แห่งในไอร์แลนด์เหนือ
เขาจัดตั้งกองทุนการกุศล ให้ค่ารักษาพยาบาลฟรี สำหรับเด็กปากแหว่ง ในประเทศที่กำลังพัฒนา
เขาได้บริจาคเงินทั้งสิ้น 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีอีก 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ รอที่จะบริจาค
ชายชราผู้ใจกว้างมากท่านนี้ เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของ DFS บริษัทดิวตี้ฟรีอันดับ 1 ของโลก เขารักการหาเงิน แต่จะใช้เงินอย่างประหยัดมาก
ขณะนี้ Chuck Feeney มีความปรารถนาว่า ก่อนปี 2016 เขาจะบริจาคเงินที่เหลือให้หมด เพื่อจะได้ตายตาหลับ ขณะนี้เงินที่เหลืออยู่ได้กระจายไปทั่วโลกให้พื้นที่จำเป็น ในอัตรา 400,000,000 เหรียญสหรัฐ ต่อปี
เขาเป็นตัวอย่างสำหรับคนรวยที่ว่า "ในขณะที่มีความสุขกับชีวิต ให้แบ่งปันความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วย"
การทำการกุศลของ Chuck Feeney เป็นที่โด่งดังมาก ผู้สื่อข่าวจำนวนมากเดินทางมาถึงบ้านของเขา ทุกคนล้วนแปลกใจ และถามว่า "Chuck Feeney คุณมีทรัพย์สินมากมาย ทำไมถึงไม่ไปมีชีวิตที่สวยหรู..."
เพื่อตอบข้อสงสัยของทุกคน Chuck Feeney ยิ้มและบอกเล่าเรื่องราว:
"สุนัขจิ้งจอก พบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้ อยากจะเข้าไปในไร่ เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่ แต่มันอ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไปไม่ได้"
"ดังนั้นมันจึงไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน และแล้วตัวมันก็ผอมลง และมุดผ่านรั้วไปได้!"
"เมื่อกินอิ่มเป็นที่พึงพอใจแล้ว แต่…ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือก มันเลยต้องอดน้ำอดอาหาร อีกสามวันสามคืน"
"สุดท้ายแล้วท้องของมันตอนที่ออกมาก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไป"
เมื่อเล่าเสร็จ Chuck Feeney กล่าวว่า
"บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็ จากไปมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งกลับไปได้ "
สื่อถาม Chuck Feeney ทำไมต้องบริจาคออกไปจนหมด
คำตอบของเขาง่ายมาก และไม่มีใครคาดถึง เขากล่าวว่า "เพราะถุงศพไม่มีกระเป๋า"
ที่จริงแล้วความจนของเขา เกิดจากการบริจาคเงินมหาศาล เขาช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สิ่งที่เขาได้มา ได้ส่งคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด มันทำให้เขามีความสุขมากกว่ามีเงินเป็นหมื่นล้านเสียอีก...
*****
การให้คือการสื่อสารที่ดีที่สุด
[@Patteve Sara]_ได้โพสต์ไว้ว่า: เราประทับใจกระเป๋ารถเมล์สาย52คันนี้มาก บริการดีมาก ขึ้นลงบอกทุกป้ายขนาดผู้หญิงคนนึงยืนจะยื่นค่าโดยสารให้ เขาบอกว่าให้นั่งก่อน แล้วค่อยจ่ายตัง
CREDIT: @Patteve Sara |https://goo.gl/M6ChfO —(10/1/59)
*************************
ขอบคุณเรื่องแนะนำจาก––@Patteve Sar
แม่ผม ต่อให้ขายของกลับมาเหนื่อยแค่ไหน หรือต่อให้เป็นวันหยุดพักผ่อนที่แสนสบายก็ตาม แม่ก็ยังคงหาอาหารมาให้เหล่าสุนัขจรจัดทุกวัน เพียงเพราะคำว่า "สงสารมัน กลัวมันหิว กลัวมันอดตาย"
*************************
ขอบคุณเรื่องแนะนำจาก––@Patteve Sar
แม่ผม ต่อให้ขายของกลับมาเหนื่อยแค่ไหน หรือต่อให้เป็นวันหยุดพักผ่อนที่แสนสบายก็ตาม แม่ก็ยังคงหาอาหารมาให้เหล่าสุนัขจรจัดทุกวัน เพียงเพราะคำว่า "สงสารมัน กลัวมันหิว กลัวมันอดตาย"
เค้าต่างจากคนอื่นที่ตรงไหน
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=970168173037554&set=a.801395176581522.1073741828.100001331427996&type=3&theater
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น