วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ลูก





คนพิการคือผม
รุ้ง8สี.คนใจบอด

รัก.สร้างสรรค์งานตัดกระดาษ.พ่อแม่แยกทางกันตัั้งแต่อายุ8เดือน อยู่กับพ่อปู่ย่า

น้องปีใหม่.พ่อแยกทางไป อยู่กับแม่และน้องรวม4คน.น้ำพริกนรก

ใบข้าว “พ่อถอดใจค่ะ“ขนมเบื้อง นนทบุุรี https://youtu.be/wa1gy1Nq7uc

น้องแป้ง แกะเม็ดบัว https://youtu.be/iHecA50tZ6c

แนท อนิภรณ์ มิสยูนิเวอร์สไทยแลนด์ พ่อแม่แยกทางอยู่กับตา คิดบวก ก็อยู่ได้
https://youtu.be/xydbtgWTi8I

เด็กเดี๋ยวนี้ฉลาดกว่าที่คิด
https://www.facebook.com/VikromKromadit/videos/447804509252249/

รับทารกในเรือนจำ.
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=422779418674829&id=267451653794325

รักแม่มาก ไม่มีอะไรเทียบเทียมได้
มายโล้วกะทะเคี่ยวน้ำตาล สมุทรสาคร. https://youtu.be/ntvgQrd4qy0

ครูประจักษ์เอาแม่โรคสมองเสื่อม ไปทำงานที่รร.ด้วย
https://youtu.be/Vws0DvrG_SY


ถ้าเราให้อะไรพ่อแม่ไป มันอาจจะเป็นของเล็กน้อย
คือมันได้บุญเยอะ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ในศาสนาผมนะ
ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินเยอะ ไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านเป็นรถ
ให้เงินเดือนละ100 ก็ได้ ถ้าเราไม่มีกำลัง...
พ่อแม่สำคัญสำหรับเรามาก เราควรที่จะหาเงิน และซื้ออะไรให้ท่านบ้าง
ไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะ ไม่จำเป็นต้องมีเงินเดือน อาจจะขายอะไรบางอย่าง
แล้วให้พ่อแม่ก็ได้ นี่คือสิ่งที่ดีมาก ผมก็เลยรู้สึกว่า นี่เป็นโอกาส ที่ผมจะซื้อมือถือ ให้พ่อแม่ครับ...
ผมเชื่อว่า การที่เราจะประสบผลสำเร็จในชีวิต เราต้องให้พ่อแม่บ้าง
ไม่ต้องเยอะ อย่างน้อยเดือนหนึ่ง เราควรให้พ่อแม่ เท่าไหร่ก็ได้
ตามกำลังที่เรามี 10,20 คือให้ เพื่อให้ชีวิตเรามีความเปิดโอกาส มีความเป็นสิริมงคล อิสลามศาสนาผมสอนอย่างนี้ แต่ผมก็เชื่อว่า
ศาสนาอื่น เขาก็ต้องสอนให้ ให้กับพ่อแม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเยอะ ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องรอให้เรา เป็นหัวหน้าคน จึงให้
พอดี พ่อแม่เราแก่
ผมอยากจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับน้องๆ
ให้ โดยเฉพาะคนใกล้ตัวของคุณ โดยเฉพาะพ่อและแม่ ให้เถอะครับ
แล้วคุณจะได้กลับ มหาศาล แล้วคุณจะประสบผลสำเร็จทร่ยิ่งใหญ่ในสังคม เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ในยุคสมัยได้
deenvlog.
https://youtu.be/lMkOwp5XljM

บัณฑิตวิศวะจุฬากราบเท้าพ่อคนขับรถขยะ
https://youtu.be/x3r2qKHuvxY



ดวงใจของคานี่อยู่กับมาม๊าไง
https://youtu.be/7JSoZa_oPrs



น้องปาล์มลายมือสวยที่1ของกาญจนบุรี

18:09 “แม่ผมรักแม่ครับ ผมจะดูแลแม่ครับ

ถ้าได้มีโอกาสเรียน ผมจะเรียนให้สูงๆ

ผมจะดูแลแม่ครับ ไปถึงแม่ไม่มีวันลำบากอีกต่อไปครับ




หลังคาทำจากสังกะสีเก่าเล้าเป็ดไก่

https://youtu.be/CM0hagesYpE

******************************

กิจโตเกียว ท่านำ้ปากเกร็ด นนทบุรี 
หัวเราะตลอด
“พ่อแม่คือชีวิต“

******************************

 น้องฟิล์ม เป่าขลุ่ยเพื่อผ้าอ้อมให้พ่อ ที่ประสบอุบัติเหตุตกหลังคาหัวฟาดอ่างล้างหน้า ต้องกายภาพจนพอเคลื่อยที่ได้

ธนิศอาจารย์ขลุ่ยไปพบที่พัทลุง มารายการซุปเปอร์เท็นของพี่ซุป



******************************

ลุงน่้อยเป่าขลุ่ยผิว ลูกชายให้ไตพ่อข้างหนึ่ง

“5ปี ช่วงที่มันจมอยู่กับการฟอกไต ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง
8พ.ค62 เรา:รู้สึกอึ้ง ยังมีคนผู้ให้อย่างนี้ด้วยเหรอ กลับมาจ้องตัวเอง ช้าไม่ได้แล้ว เสียงถามจากหลวงปู๋“เงินเดือนยังเหลืออยู่อีกเหรอ“
ทุกบาทของเงินเดือนที่ได้เอามาทำบุญที่วัดแห่งนี้คือปิติที่หล่อเลี้ยงใจเราให้เดินบนเส้นทางที่มีหลวงปู่นำทาง อย่างมั่นใจต่อไป อย่างไม่กลัวอะไรอีกแล้ว

                                          
                                        เมื่อ ไหร่จะโตเสียที  https://youtu.be/mxvrjxail10

                       
               

  30แล้วไง

***********************************************************

บุตรของเธอ...ไม่ใช่บุตรของเธอ 

เขาเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาแห่งชีวิต 

เขามาทางเธอ แต่ไม่ได้มาจากเธอ 

และแม้ว่าเขาอยู่กับเธอ แต่ก็ไม่ใช่สมบัติของเธอ 

เธออาจจะให้ความรักแก่เขา แต่ไม่อาจให้ความนึกคิดได้

เพราะว่าเขาก็มีความนึกคิดของตนเอง

  เธออาจจะให้ที่อยู่อาศัยแก่ร่างกายของเขาได้

แต่มิใช่แก่วิญญาณของเขา

เพราะว่าวิญญาณของเขานั้น อยู่ในบ้านของพรุ่งนี้

ซึ่งเธอไม่อาจเยี่ยมเยือนได้ แม้ในความฝัน...

 

เธออาจจะพยายามเป็นเหมือนเขาได้

แต่อย่าได้พยายามให้เขาเหมือนเธอ           

เพราะชีวิตนั้นไม่เดินถอยหลัง

หรือห่วงใยอยู่กับวันวาน         

  เธอนั้นเป็นเสมือนคันธนู  

บุตรหลานเหมือนลูกธนูอันมีชีวิต

ผู้ยิงเล็งเห็นที่หมายบนทางอันมิรู้สิ้นสุด           

พระองค์จะน้าวเธอเต็มแรง เพื่อว่าลูกธนูจะวิ่งเร็วและไปไกล

  ขอให้การโน้มงอของเธอในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์

เป็นไปด้วยความยินดี 

เพราะว่าเมื่อพระองค์รักลูกธนูที่บินไปนั้น

พระองค์ก็รักคันธนูซึ่งอยู่นิ่งด้วย

“  คาลิล ยิบราน   “ 

      

        เมื่ออ่านบทกวีที่เป็นแนวคิดด้านปรัชญาของท่านคาลิล ยิบราน  ขออนุญาตนำมาวิเคราะห์ตามสไตล์ของผมเองนะครับ  

       ผมว่าท่านคาลิล  ยิบราน  คงต้องการให้พ่อแม่เลี้ยงลูกให้เขาเป็นตัวของตัวเอง  โดยไม่เอาความรู้สึกนึกคิด ของ พ่อแม่  ไปคิดแทนลูก หรือ  บังคับลูกให้เป็นไปตามที่พ่อแม่ต้องการ   

        แต่จะต้องเลี้ยงลูกให้เขาเป็นตัวของเขาเองตามที่เขาต้องการ 

      ดังนั้นการเลี้ยงลูกแบบท่านคาลิล ยิบรานทำให้ผมนึกถึงนักคิดอยู่สองท่านครับ

                               ท่านแรก ผมนึกถึงคุณมาสโลว์  

   คุณมาสโลว์บอกว่ามนุษย์มีความต้องการ 5 ขั้น

1. ความต้องการด้านร่างกาย

 2. ความต้องการด้านความปลอดภัย

 3.  ความต้องการด้านสังคม

 4. ความต้องการการยอมรับ

 5. ความต้องการเป็นตัวของตัวเอง

 

    พ่อแม่ในสังคมไทยส่วนใหญ่ จะให้แค่ขั้นที่ 1 ครับ  คือ ให้กินอิ่ม นอนหลับ ขั้นสองบางทียังไปไม่ถึงครับ คือ ยังไม่ปลอดภัยดีครับ  เพราะยังมีการดุด่าว่ากล่าว   และ ขั้นสาม บางทีพ่อแม่ก็ไม่ให้ลูกเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ครอบครัว

     ถ้าจะให้ดีแบบคาลิล ยิบราน  ต้องไปให้ถึงขั้นที่ 4 ครับ  คือ พ่อแม่ควรที่จะต้องยอมรับลูกในสิ่งที่เป็น "ตัวตน" ของเขา  ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในหลายๆครอบครัวในสังคมไทย

        นอกจากนั้นหันกลับมามองทางตะวันออกผมนึกถึงพระพุทธเจ้าครับ 

        พระพุทธเจ้าก็มีหลักธรรมในการเลี้ยงลูกครับ  ที่เรียกว่า "พรหมวิหาร 4"

          แต่จะต้องเป็นพรหมวิหารที่ครบทั้ง 4 ครับ จึงจะสมบูรณ์  ส่วนใหญ่จะขาด "อุเบกขา"  นั่นคือ อุเบกขาในการปล่อยให้เขามีโอกาสได้แสดงความเป็นตัวตนของเขาเองบ้าง   อย่าไปก้าวก่ายอะไรเขามากนัก  

        สังคมไทยส่วนใหญ่ก็เลี้ยงลูกแบบ  "ขาดอุเบกขา"  ครับ  นั่นคือ ชอบเลี้ยงลูกให้เขาเป็น "เด็ก" อยู่เสมอ  ไม่ยอมปล่อยให้ "เป็นผู้ใหญ่" เสียที

       หลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ พ่อแม่ ต้องเป็น "กัลยาณมิตร" เพื่อให้ลูกเกิด "โยนิโสมนสิการ"ครับ  นั่นคือ ให้ลูก คิดเป็น ทำเป็น ด้วยการ คิดเอง ทำเอง บ้าง ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม   แต่ส่วนใหญ่  พ่อแม่มักจะไม่ค่อยเป็นกัลยาณมิตร ที่ทำให้ลูกเกิดโยนิโสมนนสิการครับ

           ทั้งหลายทั้งปวง  ควจะต้องเปลี่ยนมุมมองในการเลี้ยงลูกให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของชีวิตครับ
https://www.gotoknow.org/posts/310331
********************************************************************

เลี้ยงลูกอย่างนกอินทรีย์
เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก ต้องอ่านอย่างน้อย 3 รอบ
ถ้าอยากให้ลูกประสบความสำเร็จ
อีกแนวคิดหนึ่งที่ *ผิด* ในสังคมไทย
คือคิดว่า ถ้าลูกต้องลำบากบ้าง ความผิดอยู่ที่พ่อแม่

มนุษย์อาจจะเป็นสัตว์เดียวในโลก ที่ ไ ม่ เ ข้ าใ จ ต ร ง นี้ 
เพราะไม่มีสัตว์ประเภทไหนในโลก ที่จะพยายาม ห า กิ น ใ ห้ ลู ก
จากเกิดถึงตาย...จากเปลถึงหลุม
แม่นกอินทรีย์ มันจะคาบอาหารมาเลี้ยง
มาป้อนลูกของมันทุกวันไม่เคยขาด

แ ต่ เ มื่ อ วั น ห นึ่ ง ที่ลูกนกจะต้องเริ่มออกจากรังหัดบิน
มันจะเริ่มเอาอาหารมาป้อนลูกน้อยลง แต่เอาหนามเอาหินมาทิ้งในรัง
สุมไว้เพื่อสร้างความอึดอัดให้กับลูก เพื่อเป็นการผลักลูกให้เริ่มอยู่ในรังไม่ได้

ทุกวัน มันจะคาบลูกบินขึ้นไปให้สูง แล้วปล่อยลูกทิ้งลงมา ให้หัดกระพือปีก
ถ้าลูกร่วงลงมา ไม่บิน มันก็จะโฉบลงมารับ บินกลับขึ้นไป และทิ้งลงมาใหม่
ทำอย่างนี้ จนวันหนึ่ง ลูกนกจะกางปีกแล้วเริ่มกระพือบิน

เมื่อถึงวันนั้น... หน้าที่ของพ่อแม่ก็สำเร็จ แต่บางคนเลี้ยงลูกเสมือนว่า
เขาจะอยู่ในโลกอย่างค้ำฟ้า จะไม่มีวันจากลูกไป
ลูกไม่เคยต้องดิ้นรนทำอะไรเลย
รอเงิน รอรถ รอเสื้อผ้า รอไอโฟน จากพ่อแม่
หน้าที่ของพ่อแม่ *ไม่ใช่* การหาความสุขใส่ชีวิตลูก

อ ย่ า สำ คั ญ ผิ ด หน้าที่ของพ่อแม่
ไม่ใช่การโปรยกลีบกุหลาบให้ลูกเดิน
หน้าที่ของคุณในฐานะพ่อแม่ คือเตรียมชีวิตลูก ให้เขาอยู่ได้บนโลกนี้ได้
(ที่บางทีโหดร้าย) ในวันที่ไม่มีเรา

พ่อแม่... มีหน้าที่ให้ความรู้ การศึกษา ปลูกฝัง ถ่ายทอดค่านิยม
และทัศนคติการมองโลกที่ถูกต้องให้กับเขา
แล้วส่งเขาออกไปมีชีวิตของเขาเอง โดยที่มีเราคอยเฝ้ามอง
และส่งเสริมอยู่ห่างๆ...จนกว่าเขาจะอยู่ในโลกนี้ได้
โดยไม่จำเป็นต้องมีเราอีกต่อไป

นั่นคือหน้าที่ของพ่อแม่ ถ้าตลอดชีวิตของคุณ
ลูกคุณไม่เคยต้องลำบาก ดิ้นรนขวนขวายอะไรเลย
เพราะมีคุณคอยวิ่งเอามาประเคนให้
ไม่เคยหกล้ม เข่าของเขาไม่เคยเลือดซิบ
เพราะคุณไม่เคย ปล่อยให้เขาผิดพลาดบ้างในชีวิต

เมื่อเขาจะล้ม คุณวิ่งเอาฟูกมารองไว้ตลอด
แต่วันที่คุณต้องจากโลกนี้ไป และ ลูกคุณกลายเป็นเรือที่ขาดหางเสือ
คุณพลาดในหน้าที่ของคุณแล้ว !!
***********************************************************************************************************************

ขายลูก อายหมามัน
เรื่องต่อไปนี้คัดลอกจาก
http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-thong-tue-index-page.htm
ข้าพเจ้าเห็นแม่หมาจรมีลูก4ตัว กลางวันไม่เห็นแม่ มีแต่ลูก นึกว่าทิ้งหนีไป เป็นความเข้าใจผิดไม่น่าจะคิด เพราะเมื่อคืนเห็นแม่หมาวิ่งมาดูอาหารที่ข้าพเจ้าให้  แต่ไม่กินเหลือให้ลูกไว้ไม่ให้อดอยาก


อายหมามัน
โพสท์ในเวบพันทิป หมวดศาสนา กระทู้ที่ : Y3318300
ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงฯ เรานี่เองมีพระหมอดูที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่าดูหมอแม่นมาก พระหมอดูรูปนี้นี้เป็นผู้ที่มากไปด้วยเมตตา ท่านใช้วิชาโหราศาสตร์ในการปลดเปลื้องความทุกข์ ของชาวบ้านด้วยการปลอบประโลมหรือเตือนสติให้ผู้มาดูหมอกับท่านอยู่ในลู่ทางของพุทธศาสนิกชนที่ดี คือไม่ให้ทุกข์จนทอดอาลัย หรือไม่ให้ลิงโลดคอยแต่โชคลาภที่จะมาถึงจนประมาทไม่ทำมาหากินเลย
นอกจากนี้ท่านก็ไม่ห่วงวิชา เวลาท่านดูหมอให้ชาวบ้านก็มักจะมีพวกลูกศิษย์ลูกหาหาทั้งพระทั้งฆราวาสมานั่งเรียนวิชาจากท่าน หลายครั้งท่านจะให้พวกลูกศิษย์ประเภทพอมีความรู้ทางโหราศาสตร์ใช้การได้แล้วทดลองผูกดวงของญาติโยมที่มาดูหมอ โดยท่านจะตรวจความถูกต้องอีกทีหนึ่ง เวลาท่านทำนายทายทักก็อธิบายถึงอิทธิพลของดวงดาวและเรือนของภพของภูมิต่าง ๆ ตลอดจนหลักการพยากรณ์และเกร็ดความรู้ต่าง ๆ ไปด้วย
แล้วมาวันหนึ่งมีชายวัยกลางคนแต่งตัวซอมซ่อพาลูกชาย ๒ คนมาหาพระดูหมอดูที่ว่านี้ ชายวัยกลางคนนี้เล่าว่า เขายากจนเหลือเกินไม่มีปัญญาหาเลี้ยงลูกทั้งสองได้ ก็เลยจะยกลูกคนหนึ่งให้กับญาติที่บ้านเดิมที่กาญจนบุรีเป็นบุตรบุญธรรมเขาเสียคนหนึ่ง เพราะหากอยู่ด้วยกัน ๓ คนพ่อลูกก็อาจจะอดตายได้ ที่มาหาพระก็เพื่อให้ช่วยดูดวงว่าควรจะยกลูกคนโตหรือลูกคนเล็กให้ญาติเลี้ยงดี เรียกว่ามาอาศัยบารมีของโหราศาสตร์ให้ช่วยเลือกทีเถิด
พระหมอดูท่านนั้นหลังจากผูกดวงเรียบร้อยแล้ว ท่านพูดว่า
"ที่สำคัญต้องดูนิสัยใจคอเด็กจากตนุเศษเสียก่อน เจ้าคนพี่ ตนุเศษคือ ศุกร์ในเรือนจันทร์ มันอ่อนหวาน มีอารมณ์แช่มชื่น หัวอ่อน ว่าง่าย และศุกร์ตนุเศษเป็นศรี มักรักดีใฝ่ดี แม้ร่วมอังคารก็ไม่แรง เพราะเป็นนิจไปเสียแล้ว ศุกร์เป็นทั้งตนุลัคน์และตนุเศษ เป็นคนเปิดเผย สุจริต เมื่อตนุเศษมาอยู่ในภพกัมมะ มันรักเอาใจใส่การงานดี
"ส่วนเจ้าน้องชายนั้นตนุเศษคืออังคารในเรือนอาทิตย์ ใจมันกล้าหาญร้อนแรง อยู่ข้างจะไม่เรียบร้อย ยิ่งติดเรือนอาทิตย์ ถ้าจะดื้อแล้วมันก็จะรั้นเอาการทีเดียว ยิ่งร่วมมฤตยูมันดึงดันแบบเอาหัวชนฝา ยิ่งกว่านั้นราหู ตัวอารมณ์อยู่เรือนอังคาร ทำให้อังคารตัวนี้วู่วามขาดความยับยั้ง แต่ถ้ายามดี มันขยันหมั่นเพียรอาสาการงานดีเพราะตนุเป็นอุตสาหะ คนที่ตนุลัคน์เป็นอุจจ์นั้น ไม่ค่อยยอมลงใครง่าย ๆ หรอก ดังนั้น ถ้าจะให้ใครไปอยู่กับคนอื่นก็คงต้องตัวพี่ชายนั้นแหละ เนื่องจากการไปอยู่อาศัยอยู่กับคนอื่นนั้นเด็กมันต้องอัธยาศัยดี อ่อนน้อม ขยันขันแข็ง ใช่คล่อง เขาถึงจะเมตตา"
เวลาท่านดูหมอแล้วละก็ ท่านจะฟันธงโป๊ะเชะไปเลย ไม่มีอ้อมค้อม อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ทำนายกำกวมแบบกั๊กเหมือนหมอดูหรือพวกใบ้หวยพวกนั้นที่เขานิยมทำ ๆ กัน เมื่อได้ฟังดังนั้น เจ้าคนพี่ก็ปล่อยโฮสะอื้นฮัก ๆ ทำเอาคนทั้งหลายบนกุฏิระส่ำระส่ายด้วยความเวทนา เจ้าเด็กน้อยตัวนี้ก็หันไปสั่งเสียกับพ่อว่า
"พ่อขายผมได้เงินมาแล้ว พ่อต้องให้น้องเข้าโรงเรียน แล้วทำบุญให้แม่ด้วย"
เท่านั้นแหละ พระหมอดูท่านหันไปตวาดถามอีตาพ่อทันทีว่า
"นี่แกจะขายลูกหรือ ?"
อีตาพ่อโกหกมาแต่แรกแล้ว จึงต้องสารภาพว่า
"คนจีนในตลาดเขาไม่มีลูก เขาขอเด็กไปเลี้ยง จะให้ค่าเลี้ยงดูเก้าร้อยบาท ตั้งใจจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำทุนหาเลี้ยงเจ้าคนที่เหลือต่อไป"
พูดแล้วก็กระสับกระส่าย ถือโอกาสลากลับเลยทีเดียว พระหมอดูท่านพยายามระงับจิตใจเอาไว้แล้วก็พูดเบา ๆ ว่า
"ก่อนที่จะกลับนี่ อยากจะเล่าอะไรให้ฟังไว้สักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องพ่อและลูกที่เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อสมัยอาตมายังเป็นเด็ก ไม่ได้สรรค์แต่งมาพูดเทศนา ฟังแล้วจะไม่ยึดถือ เอาทิ้งไว้ชานกุฏินี้ก็ได้"
เมื่อเห็นพ่อเด็กนิ่งเหมือนยอมรับฟังโดยดุษณี ท่านก็เริ่มเรื่องขึ้น
"เมื่ออาตมายังเด็ก อายุคราว ๆ เจ้าสองคนนี่แหละ โยมป้าแช่มแกเป็นสาวโสด แกขออาตมาซึ่งเป็นหลานมาเลี้ยงแกจับอาตมาบวชเณรที่วัดตีนเลน เดี๋ยวนี้เขาเรียกวัดบพิตรภิมุข ส่วนตัวแกเองอยู่บ้านถัดวัดเข้าไป เป็นสะพานยาวตามที่ชานเลนลงริมแม่น้ำ อาชีพแกทำขนมฝรั่งขายส่งเจ้าจำนำอยู่ที่สะพานหัน ซึ่งส่งกันเป็นประจำทุกวัน การส่งขนมเจ้านำของแกแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร คือใช้สุนัขเป็นผู้ส่งและรับเงินค่าขนมกลับมาเสร็จ
เจ้าสุนัขตัวนี้รูปร่างพิกล เป็นสุนัขตัวผู้สีขาวปลอด แต่ตอนบนศีรษะเหมือนใครเอาถุงสีดำมาคลุมไว้ แกเลยตั้งชื่อตามลักษณะของมันว่า "อ้ายโม่ง"  วิธีส่งขนมฝรั่งของแก คือ พอทำเสร็จก็ใส่บรรจุลงในตะกร้าหวาย สำหรับถือไปจ่ายกับข้าว เอาผ้าปิดกันฝุ่นไว้ เขียนจดหมายบอกราคาเงินใส่ไปเสร็จส่งให้อ้ายโม่งคาบไปส่งเจ้าจำนำที่เชิงสะพานหัน
เมื่อเจ้าจำนำรับขนมฝรั่งครบก็เอาสตางค์ใส่ตะกร้าส่งให้อ้ายโม่งคาบกลับมา ปฏิบัติเช่นนี้มาทุกวัน ที่มันฉลาดรอบรู้ทำได้ดี ก็เพราะตอนมันเล็ก ๆ มันติดสอยห้อยตามโยมป้าไปส่งขนมฝรั่งเจ้าจำนำคนนี้เป็นประจำทุกวัน ร่วมปีจนมันโตเป็นหนุ่มจำได้แม่น ระยะทางจากบ้านปลายสะพานยาวมาร้านจำนำที่สะพานหันนั้นมันไกลพอดู คือจากบ้านต้องผ่านวัดและเลี้ยวอ้อมโบสถ์ มาหลังโรงเรียนบพิตรภิมุข และเลียบตึกแถวริมคลองโอ่งอ่างมาจนถึงสะพานหัน ชาวบ้านสองข้างทางทุกบ้านรู้จักอ้ายโม่งดี เวลามันคาบตะกร้าขนมฝรั่งมา พอเมื่อยพักหน้าบ้านใครเข้า เขาก็แกล้งล้อมันว่าขอขนมฝรั่งกินหน่อย มันทำตาเขียวโกรธรีบคาบหนีไปหน้าบ้านอื่นทันที ถ้าเป็นเด็ก ๆ ทำวอแวเข้ามาคว้าขนมฝรั่ง มันจะฮื่อฮ่าทำท่าจะกัดเอาจริง ๆ ส่วนตัวมันเองสัตย์ซื่อถือขันติไม่เคยแตะต้องขนมฝรั่งในตะกร้าเลย และเวลาขากลับได้สตางค์มามันจะวิ่งแน่วไม่ยอมหยุดที่ไหนกลับถึงบ้านทันที มันส่งมาแรมปี
อยู่มาวันหนึ่ง เกิดเหตุประหลาดขึ้น เจ้าจำนำรับขนมเขียนหนังสือมาต่อว่า ว่าขนมขาดไป ๒ อัน คุณโยมป้าแช่มไม่สงสัยอะไร คิดว่าตัวเองอาจเผอเรอนับผิดมากกว่าจึงพยายามนับถี่ถ้วนจนครบ แล้วส่งไปก็ถูกต่อว่ายังขาดเช่นเดิม โยมป้าคิดอะไรไม่ถูก หาเหตุผลอะไรไม่ได้ จะว่าหายระหว่างทางก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะอ้ายโม่งมันรักษาหน้าที่เคร่งครัดมาตลอดเวลาร่วมปี ไม่เคยบกพร่อง เพื่อตัดปัญหา แกนับเกินไป ๒ อันเผื่อหาย ครั้งนี้ไม่มีการต่อว่า ว่าขาดอีก
จนสองสามวันต่อมา ความสงสัยของโยมป้าไม่มีสิ้นสุด ความอยากรู้สาเหตุ วันหนึ่งแกนับขนมมอบให้อ้ายโม่งไปแล้ว แกก็แอบสะกดรอยตามหลังอ้ายโม่งไปด้วย อ้ายโม่งออกจากบ้านตรงแหนวไม่เเวะที่ไหน ผ่านถนนในวัดตรงไปสู่โบสถ์ แต่ตอนจะเลี้ยวหลังโบสถ์ผ่านลานทรายไปทางริมคลอง โยมป้าเห็นอ้ายโม่งเลี้ยวข้างกำแพงโบสถ์เข้าไปหลังเจดีย์ซึ่งเป็นที่ลับตาคน สักพักอ้ายโม่งก็กลับออกมา และมุ่งหน้าไปตามเส้นทางส่งขนมตามเคย
โยมป้าแอบเข้าไปดู ปรากฏว่า หมาแม่ลูกอ่อนออกลูกโทน (มีลูกตัวเดียว) สีสันเหมือนอ้ายโม่งไม่มีผิด ไม่ต้องมีใครบอก..หรือจะต้องตรวจเลือดตรวจดีเอ็นอี ดีเอ็นเเซด ..(อันนี้พิมพ์เอง) ก็รู้ว่าเป็นลูกอ้ายโม่งชัด ๆ และมีขนมฝรั่งที่แกทำวางไว้สองก้อน
นับแต่นั้นมา โยมป้าก็ต้องนับขนมฝรั่งให้เกินไว้ ๒ อัน เพื่อให้อ้ายโม่งได้ทำหน้าที่พ่อที่ต้องเลี้ยงดูลูกเมียหมา ๆ ของมัน จนกระทั้งลูกหมาได้อายุหย่านมแล้ว โยมป้าจึงติดตามไปเอาสายเลือดของอ้ายโม่งมาเลี้ยงเป็นสมาชิกของครอบครัวเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ชาวบ้านแถบนั้นเขารู้เรื่องโจษขานกันอยู่หลายปี คนเก่าแก่แถวนั้นเดี๋ยวนี้ยังคงพูดถึงอยู่เสมอ
พอพระหมอดูเล่าเรื่องจบลงคนบนกุฏิ ๖-๗ คนนิ่งเงียบกันหมด ต่างคนต่างคิด อัดอั้นตันใจกันไปหมด มีแต่เสียงเจ้าเด็กน้อยคนพี่ที่ถูกตัดสินให้จากพ่อไปยังคงสะอื้นอยู่เบา ๆ เลยพาเอาเจ้าคนน้องที่พอรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง พลอยร้องไห้ตามพี่ชายไปด้วย
สักครู่ใหญ่พ่อเด็กกระเถิบเข้ามาพนมมือบอกลาแล้วก้มลงกราบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาน้ำตาอาบแก้ม พร้อมกับกล่าวว่า
"ผมตัดสินใจไม่ขายลูกแล้วขอรับ อายหมามัน"
( เก็บตกจากต่วยตูน)
จากคุณ : บัวอธิษฐาน - [ 26 ก.พ. 48