" การไปเรียนที่อเมริกาได้การรู้จักตัวเอง ไม่ใช่ให้ผู้อื่นใช้เป็นไม้แขวนเสื้อ"
"ไม่ว่าเราจะห่างกันแค่ไหน เราก็เห็นพระจันทร์ดวงเดียวกัน"
"ชีวิตนี้มันสั้้นแค่เวลาใน Space time อวกาศเวลา คำนี้เป็นคำไอนสไตน์ กระบวนการของการใช้ชีวิตสำคัญกว่าจุดมุ่งหมาย และฉันก็หวังว่ากระบวนการในการใช้ชีวิตนี้เธอจะเดินไปกับฉัน ปัจจุบันมีความสำคัญกับชีวิตมากกว่า"
"แม้การผ่าตัดจะทำได้ดีเพียงไร แต่รอยผลเป็นก็จะมี เมื่อลูกโตขึ้น มีใครมาทักแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดปากแหว่งเพดานโหว่ ก็ให้ยิ้ม ว่าลูกภูมิใจ"
"การให้เด็กมั่นใจแต่้เด็ก สำคัญ"
"ชีวิตเราไม่ได้ต้องการความสำเร็จอะไร แต่ต้องการจะมีกันและกันทุกหนทุกแห่ง -โสภณ"
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูก พ่อจะอยู่ข้างเดียวกับลูก -โสภณ"
คลิกดูคลิปที่นี่
https://www.youtube.com/watch?v=ipBaA9mEQvA
VIDEO
๔.๔๔ สติปัญญาไม่ได้มาจากการเรียน และเมื่อพบอีกมันก็มีสติ ได้เคยผ่านมันก็มีปัญญา ไม่ตกใจคึกคะนองลิงโลด บ้าคลั่ง มีสัมปชัญญะ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติในสมองทั้งสิ้น ถ้าได้เคยเรียนรู้ แต่ถ้าเรียนความรู้จะไม่เกิด มันต้องเรียนรู้ถึงจะผ่านเข้าไปในสมอง ฝังลึกลงไปในจิต
๑๓.๓๘ ศาสนาพุทธบอกเลยว่า มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดดๆ มันมีเหตุเกิดแล้วมันก็มีต่อไปอีก ทุกอย่างมันต้องมีอะไรที่มันต่อไป ศาสนาเตือนเราอย่างนี้เสมอ ฝรั่งมักจะคิดว่าอะไรเกิดขึ้นโดดๆ ซึ่งไม่จริง ทุกพฤติกรรมบนโลกนี้มีผลต่อกันหมด
VIDEO
๑.๒๘ แผ่นดินไหวครั้งที่ใหญ่กว่าเซนไดที่ญี่ปุ่น เกิดเมื่อ ๖๕ ล้านปีก่อนที่ไดโนเสาร์สูญหายไปแล้วพัฒนาเกิดเป็นคน ถ้าไม่มีแผ่นดินไหวครั้งนั้น คนไม่มี ธรรมชาติมันก็รีไซเคิลมันตลอด มันเป็นกฏของธรรมชาติ ธรรมชาติก็ขยับเปลี่ยนสมดุลมันไป เรามักจะคิดว่าเป็นแล้วจะต้องกลับมาที่เดิม ไม่มีอะไรที่เดิม มันจะกระเทิบไปตามกฏแห่งกรรม ไม่มีอะไรอยู่ยงคงกะพัน
คุยเรื่องประสบการณ์การใช้ชีวิต
ที่มา โสภณ สุภาพงษ์ ซื่อสัตย์-เสียสละ แบบอย่างที่ได้จากพ่อ
หากเอ่ยชื่อ ‘โสภณ สุภาพงษ์’ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก เพราะเขาคนนี้ผ่านงานต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารในองค์กรต่างๆนับสิบแห่ง รวมทั้งเป็นอดีต ส.ว.กทม. ที่ได้รับเลือกตั้งมาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น และสิ่งหนึ่งที่เขาทำมาตลอดชีวิต คือการช่วยเหลือคนยากคนจนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ได้รับพระราชทานรางวัลบุคคลดีเด่นแห่งชาติ เมื่อปี 2539 รวมถึงได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขางานบริการสาธารณะ ในปี 2541 ด้วย
โสภณมีปรัชญาในการดำเนินชีวิตอย่างไร และอะไรที่ทำให้เขาทุ่มเททำงานเพื่อสังคมอย่างจริงจัง คำตอบมีอยู่ตรงนี้แล้ว
• คุณโสภณจัดว่าเป็นผู้บริหารที่มีชื่อเสียงและผ่านงานมาหลายต่อหลายองค์กร ไม่ทราบว่ามีปรัชญาในการบริหารงานอย่างไรคะ
ผมจะบอกกับลูกน้องเสมอนะว่า เราจะเดินไปพร้อมๆกัน ดีก็ดีด้วยกัน เลวก็เลวด้วย กัน และถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น ผมไม่ต้องการรู้ว่า ‘ใครทำ’ แต่สิ่งที่ผมอยากรู้มากที่สุดคือมันเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกได้อย่างไร คนที่เขาทำพลาด ก็จะรีบมาบอกเลยว่าผมทำเองครับ เหตุการณ์มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะความจริงแล้ว ไม่มีใครอยากผิดพลาดหรอก การซัดทอดหรือกล่าวโทษกันก็มีแต่จะทำให้แตกความ สามัคคีกันเปล่าๆ การจะแก้ปัญหาหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จนั้นทุกคนในทีมต้องอยู่ข้าง เดียวกัน การที่เราอยู่ข้างเขาจะทำให้พนักงานมีกำลังใจ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับทุกองค์กร และเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาในทุกระดับ
• ไม่ทราบว่าได้แนวคิดในการบริหารงานแบบนี้มาจากไหนคะ
คือมีอยู่ช่วงหนึ่งที่พ่อผม (มงคล สุภาพงษ์)ป่วยหนัก แม่ (ฉวี สุภาพงษ์)ก็เครียดมาก ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า ก็มีพยาบาลคนหนึ่งซึ่งดูแลพ่อ ผมจำได้แม่น เลยว่าชื่อคุณอรสา เขาให้กำลังใจกับครอบครัวผมมาก ทุกครั้งที่เขามาวัดไข้มาจ่ายยาให้พ่อ เขาจะกุมมือพ่อ บอกว่าเดี๋ยวก็หายนะคะ แล้วก็เข้ามาจับไหล่ผมซึ่งตอน นั้นยังเด็กและรู้สึกเคว้งคว้างมาก เพราะในความรู้สึก เราทุกอย่างมันเกิดขึ้นกะทันหัน เขาก็บอกว่าไม่เป็นอะไรนะ ตอนนั้นผมก็รู้สึกเลยว่ากำลังใจที่ได้มันเป็นสิ่งที่มีค่ามาก และมันทำให้เรามีแรงลุกขึ้นสู้ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เกิดปัญหาในองค์กร ผมจะให้กำลังใจน้องๆเพื่อให้เขาลุกขึ้นสู้เหมือนกัน
• คุณโสภณเป็นคนหนึ่งที่ทำงานช่วยเหลือชาวบ้านเยอะมาก... อะไรคือแรงบันดาลใจตรงนี้
คือสมัยที่ผมยังเป็นนักศึกษา ประมาณปี 2510 เป็นยุคที่เริ่มมีนักศึกษากลุ่มเล็กๆที่ร่วมกันต่อต้านคอร์รัปชั่นภายในมหาวิทยาลัย ผมก็ร่วมกับเขาด้วย ตอนนั้นผมจะเป็นคน ที่อยากทำความดี แต่ยังมีความรู้สึกโกรธคนที่ทำไม่ดี โกรธรัฐบาลทหารที่ให้ทหารอเมริกันเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย และเอาผู้หญิงไทยไปขาย เรารู้สึกรับไม่ได้
แต่มีเด็กคนหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตและจิตวิญญาณของผม คือหลังจากจบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2511 ผมไปคุมงาน ก่อสร้างเยอะมาก ทั้งในประเทศไทย ลาว กัมพูชา มีอยู่ช่วงหนึ่งผมไปดูงานก่อสร้างแล้ว เจอเด็กคนหนึ่งอายุประมาณ 15 ปี คือสมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานเด็ก เด็กคนนี้มาทำลับๆล่อๆ แล้วก็มุดหายเข้าไปชั้นใต้ดินของตึก เย็นอีกวันผมก็เห็นอีก พอหัวหน้าเขาเดินผ่านไปเด็กก็มุดลงใต้ตึกอีก ผมคิดเลยว่าต้องจับให้ได้ว่ามันมาขโมยอะไร
อีกวันหนึ่งผมก็ไปเฝ้าดูเลย พอตกเย็น หัวหน้าเขาเดินผ่านไป มันก็ลอกแลกๆแล้วก็ ลงบันไดหนีไฟไปชั้นใต้ดิน ผมก็ตามลงไป เห็นหลังไวๆ หายเข้าไปในห้องเล็กๆ ผมก็เอา ไฟฉายส่อง แบบว่าจะจับขโมย ตอนที่ผมฉายไฟเข้าไปผมยังจำแววตาเขาได้เลย มันเป็น แววตาของคนที่อับจนจนมุม เห็นเขากำลังนั่งยองๆ มือขวาถือช้อนสังกะสี มือซ้ายถือกล่อง ข้าวอะลูมิเนียมแบบที่ใช้กันสมัยก่อน มองไปเห็นเลยว่าข้าวในกล่องมันมีอยู่แค่ 1 ใน 3 เขามือไม้สั่น กำลังตักข้าวเข้าปาก ผมรู้ทันทีเลยว่ากล่องข้าวนี่มันเป็นกล่องเดียวกับที่เขา เอามากินตอนกลางวัน แต่เขากินหมดในมื้อเดียวไม่ได้ ไม่งั้นตอนเย็นจะไม่มีอะไรกิน ตกเย็นหิวก็ต้องแอบลงมากินข้าวที่ขยักไว้ กินข้าวเปล่าๆนั่นแหละ (คุณโสภณเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและตาเริ่มแดง)
ตอนนั้นผมรู้สึกสมเพชตัวเองมาก ทำไมเราต้องคิดว่าคนจน คนโง่ คนไม่มีการศึกษา ต้องเป็นขโมย แล้วก็รู้สึกว่าคนที่มีความรู้มีการศึกษาอย่างเราๆนี่แหละที่เป็นขโมย ขโมยจนเขาไม่มีกิน ขโมยจนเขาไม่ได้เรียนหนังสือ ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองเลยว่า ผมเนี่ยะไม่มีหน้าที่ทำให้ใครรวยอีกแล้ว หน้าที่ของผมอยู่ตรงหน้านี่ ทำยังไงให้เขามีข้าวกิน ให้เขาได้เรียนหนังสือ ได้อยู่กับพ่อกับแม่ ผมพบว่าเด็กคนนี้สอนผมมากกว่าการร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยถึง 4 ปี เด็กคนนี้สอนความเป็นมนุษย์ให้เรา ผมเลือกชีวิตผมตั้งแต่วันนั้น เลือกว่าจะมีชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนอื่น และผมไม่เคยเสียเวลาไปโกรธใครอีกเลย
• คุณโสภณเองก็ไม่ได้ร่ำรวยหรือมีเงินทองมากมาย แล้วทำไมจึงสามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้มากมายล่ะคะ
ที่ผ่านมาผมเองแทบไม่ได้ช่วยเป็นตัวเงินเลยนะ แต่เรา ให้โอกาสเขา ซึ่งจะทำให้เขาเห็นถึงคุณค่าและศักยภาพของตัวเอง ส่วนใหญ่ผมจะถามชาวบ้านว่าเขามีอะไรเหลือ และผมมีอะไรเหลือ ก็จะเอามารวมกัน อย่างมีหมู่บ้านหนึ่งเขายากจนมาก ได้รับแจกเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองจากทาง ราชการมาก็เอาไปปลูกไม่ได้ เพราะทางการดันเอาเมล็ดพันธุ์มาแจกในช่วงหน้าฝน ซึ่งถ้าปลูกในช่วงนี้รากมันจะเน่าตาย แต่จะเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เฉยๆก็เน่าเสียอีก
ผมเองไม่มีเงินทุนแต่พอจะหาวิธีแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้ เขาได้ ก็เลยมานั่งคิดกันว่าจะเอาถั่วเหลืองไปทำเป็นซีอิ๊วขาว เก็บไว้กินดีไหม แล้วก็ลองทำกันดู ปรากฏว่าได้ผลดี พอ ทำกันมากเข้ากินไม่หมดเขาก็เลยเอาไปขาย ก็มีรายได้เข้ามา ชาวบ้านเขาเลยคิดต่อไปอีก ว่าถ้าอย่างนั้นในหนองในบึงเขามีปลา หากกินไม่หมดเอามาทำน้ำปลาขายดีไหม ก็เกิดเป็น อาชีพใหม่ในหมู่บ้าน ซึ่งวิธีการนี้ทำให้ชาวบ้านเขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เขาก็ภูมิใจ และเห็นคุณค่าของตัวเอง
ผมเคยเป็นผู้บริหารในหลายหน่วยงานก็อาศัยว่ารู้จักคนเยอะ ทั้งข้าราชการ นักวิชาการ นักธุรกิจ ฯลฯ เวลาจะทำโครงการอะไรก็จะไปขอให้เขาช่วย บางคนก็ช่วยเรื่องความรู้ เทคโนโลยี บ้างก็ช่วยเรื่องวัสดุอุปกรณ์ บางรายช่วยมาเป็นตัวเงิน บางรายช่วยหาตลาด มันก็อยู่บนหลักการว่าใครมีอะไรเหลือก็เอารวมกัน มาช่วยเหลือกัน ทำให้เกิดโครงการดีๆขึ้นมากมาย ซึ่งโครงการเหล่านี้มันไม่ใช่ความ สำเร็จของผม เพราะผมคนเดียวทำไม่ได้ แต่มันเกิดจากน้ำใจของคนที่ต้องการแบ่งปันให้คนไทยด้วยกัน นี่คือแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง ตามแนวพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ท่านสอนให้ เรารู้จักนำสิ่งที่อยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ อยู่อย่างพอเพียง และรู้จักแบ่งปัน
• ทราบว่าคุณโสภณขึ้นเวทีพันธมิตรเพื่อร่วมต่อต้านรัฐบาลทักษิณด้วย ไม่กลัวหรือคะ
ก็ไม่นะ เพราะเรามองว่าสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ เราทำเพื่อความถูกต้องและมีเมตตา คือผมไม่ได้ออกมาแฉเรื่องการทุจริตของรัฐบาลคุณทักษิณเพราะผมโกรธหรือเกลียด คุณทักษิณ แต่ผมพูดเพราะเห็นว่าเขากำลังหลงผิด มีความ โลภ โกรธ หลง เข้ามาครอบงำจิตใจ ซึ่งส่วนหนึ่งผมได้แบบ อย่างการมองโลกอย่างมีเมตตามาจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี คือผมมีโอกาสได้ทำงานกับท่านในสมัยที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆที่ท่านมีอำนาจเต็มที่ แต่ท่านไม่เคยเหลิงอำนาจ เวลาที่เกิดปัญหาท่านจะเอ่ยปาก ขอโทษคนไทย ท่านถูกลอบยิงหลายครั้ง ถูกปฏิวัติหลายครั้ง แต่ท่านไม่เคยผูกใจเจ็บ ไม่เคยแช่งชักหักกระดูกใคร แต่ผมจะเห็นพลเอกเปรมน้ำตาไหลทุกครั้งที่เห็นคนไทยฆ่า กัน สิ่งที่ท่านแตกต่างจากคนทั่วไปคือเรื่องคุณธรรมซึ่งผม ตระหนักว่ามันสำคัญต่อชาติบ้านเมืองมาก
ดังนั้น การที่ผมลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลคอร์รัปชั่นจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวอะไร เพราะคุณธรรมทำให้เราองอาจและกล้าหาญ เมื่อเร็วๆนี้ผมขึ้นเครื่องบินก็เจอกับอาม้าคนหนึ่ง อายุสัก 60 กว่าๆ นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็ตกใจ! เพราะอยู่ๆอาม้า เอามือมาจับ แล้วบอกว่า อาเฮียโสภณ เราคนภูเก็ตภูมิใจ คุณโสภณมาก ลูกผู้ว่าฯมงคล ต่อต้านรัฐบาลทรราช (มงคล สุภาพงษ์ เคยรับราชการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต) คือเขารู้จักตระกูลผมมาตั้งแต่รุ่นพ่อ(หัวเราะ)
• คุณโสภณคงภูมิใจในตัวคุณพ่อมาก
ครับ มันเป็นความภูมิใจ เวลาใครพูดถึงพ่อ แม้แต่ตอนที่ผมมาดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) กรุงเทพฯ ก็มี ส.ว.คนหนึ่งซึ่งเป็นกรรมาธิการคณะหนึ่งไปตรวจสอบ เรื่องปัญหาการบุกรุกที่ดินที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีการบุกรุกที่ ของทางราชการเพื่อสร้างโรงแรมและรีสอร์ตต่างๆเป็นจำนวนมาก กลับจากภูเก็ตเขาก็มาแซวกันว่า ไม่ใช่แต่โสภณ นะที่ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ต่อต้านกันมาตั้งแต่สมัยพ่อมันเลย(หัวเราะ) เพราะเอกสารเกี่ยวกับการถือครอง ที่ดินในบริเวณที่เขาเข้าไปตรวจสอบนั้นเขียนไว้ชัดว่าเป็นที่ สาธารณะ โดยมีลายเซ็นของพ่อผมสมัยที่เป็นผู้ว่าราชการ จังหวัดภูเก็ตกำกับไว้ทุกฉบับ ซึ่งตรงนี้สามารถใช้เป็นหลักฐานได้อย่างดี คือสมัยก่อนก็มีการบุกรุกลักษณะเดียวกับปัจจุบัน คือนายทุนอยากได้ที่ของหลวง ก็จ้างชาวบ้าน หักร้างถางพงเพื่อให้ได้สิทธิในการทำกิน จากนั้นก็กว้านซื้อที่จากชาวบ้านอีกที ซึ่งพ่อมองว่าเราควรช่วยชาวบ้านให้เขาอยู่ดีกินดี แต่ต้องไม่ใช่วิธีที่สนับสนุนให้เขาทำผิดกฎหมาย
• แล้วคำสอนของคุณพ่อที่คุณโสภณคิดว่ามีผล ต่อการดำเนินชีวิตของตัวเองมากที่สุดคืออะไรคะ
ความจริงแล้วพ่อไม่เคยสอนอะไรนะ แต่สิ่งที่พ่อทำมันเป็นแบบอย่างไปโดยไม่รู้ตัว ความดีของพ่อทำให้ผม ไม่กล้าทำสิ่งที่ไม่ดี พ่อเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นสิ่ง ที่ลูกๆภูมิใจมาก ตอนหนุ่มๆพ่อเป็นอัยการอยู่ที่จังหวัดราชบุรีจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งมีคนมาหาพ่อที่บ้าน ซึ่งบ้านพักอัยการจะเป็นบ้านใต้ถุนสูง สักพักคนนั้นก็เดินลงบันไดมา ตอนนั้นผมนั่งอยู่ข้างล่าง เห็นพ่อเขวี้ยงเงินลงมา แบงก์ปลิว ว่อนไปหมด ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเรายังเด็กมาก ตอนหลังแม่ถึงมาเล่าให้ฟังว่ามีคนเอาเงินมาให้พ่อเพื่อล้มคดี ซึ่งพ่อโกรธมาก
หลังจากเป็นอัยการอยู่พักหนึ่งพ่อก็ไปสอบเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ถึงรู้ว่าจะต้องเดือดร้อนแต่พ่อก็ไม่ยอมทิ้งอุดมการณ์ ในช่วงปี 2500 ซึ่งเป็นปีที่มีการโกงการ เลือกตั้งกันอย่างสกปรกที่สุดปีหนึ่ง มีการปิดไฟขณะนับคะแนน มีการเปลี่ยนหีบบัตร และพรรครัฐบาลของจอมพล ป. (จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้กลับมาเป็นรัฐบาลต่ออีก สมัยหนึ่ง ในพื้นที่ภาคใต้พรรคของรัฐบาลชนะการเลือกตั้ง ทุกจังหวัด ยกเว้นจังหวัดภูเก็ตจังหวัดเดียวเพราะคุณพ่อ ไม่ยอม เลยถูกผู้ใหญ่เรียกไปคุยที่กระทรวงและปลดออก จากราชการ ยังจำได้ว่าคืนนั้นผมกับพ่อเดินอยู่ที่บางลำพู พ่อจับมือผมแน่น แล้วบอกว่า เปี๊ยก(ชื่อเล่นของคุณโสภณ) พรุ่งนี้พ่อตกงานแล้วนะ ผมก็สงสารพ่อ แต่ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะตอนนั้นเรายังเด็ก อายุแค่ 9 ขวบ เราก็ไปนอนที่โรงแรมเวียงใต้ พอตีห้าจอมพลสฤษดิ์ (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์) ปฏิวัติยึดอำนาจ พ่อก็เลยไม่ตกงาน (หัวเราะ)
พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นี่ส่วนใหญ่เวลาเขาเกษียณกันจะรวยๆกันทุกคน มีพ่อคนเดียวที่รถก็ยังไม่มี (หัวเราะ) พ่อลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุเพราะสุขภาพไม่ดี ป่วยเรื้อรังอยู่หลายปี บ้านเราก็ไม่มีเงินเลย ต้องเอาที่ไปจำนอง ซึ่งพ่อเสียใจมากว่าไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเหลือให้ ลูกๆเลย คือตอนรับราชการพ่อใช้เงินส่วนตัวในการทำหน้าที่ทั้งนั้น มีอะไรก็จำนอง ขายเอาเงินมาใช้ในงานหมด พ่อก็บอกว่าเสียใจที่ไม่มีทรัพย์สมบัติให้ผม ผมยังจำได้ว่า ผมบอกพ่อว่า พ่อ...ทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ให้ผมเนี่ย.. ผมภูมิใจมากนะ มันคือความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งความซื่อสัตย์นี่เองที่ทำให้ผมสามารถยืนอยู่ในสังคมได้อย่างใสสะอาด เพราะคนทั่วไปจะรู้ว่านามสกุลนี้ไม่เคยคดโกง และผม สามารถทิ้งสมบัตินี้ไว้ให้ลูกผมได้ (ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ)
• แสดงว่าคุณพ่อสอนโดยการทำเป็นแบบอย่าง
ใช่ครับ ผมเคยให้สัมภาษณ์รายการทีวีรายการหนึ่งตอน ที่เพิ่งได้รางวัลแมกไซไซ พิธีกรถามว่ารู้มาว่าตลอดชีวิต คุณโสภณไม่เคยไปเที่ยวเทคเที่ยวผับเลย คุณโสภณต่อต้าน เรื่องนี้มาตลอด ผมก็บอกว่าผมไม่ได้ต่อต้าน ผมยังเคยไป นั่งรอเพื่อนหน้าบาร์ แต่ผมจะไม่เข้าไป เขาก็ถามว่าทำไม ผมก็บอกว่าเพราะผมทรยศต่อพ่อไม่ได้ คือเราเห็นการใช้ชีวิตของพ่อที่ทำงานด้วยความอดทน ซื่อสัตย์ มัธยัสถ์ เหนื่อยยาก แต่ละอย่างที่พ่อได้มานั้นได้มาด้วยความลำบาก พ่อเป็นคนเสียสละ คุณงามความดีตรงนี้มันเป็นมรดกที่มีค่า ดังนั้นเราจะทำตัวนอกคอกไม่ได้
• แล้วตัวคุณโสภณเองล่ะคะ มีวิธีเลี้ยงดูลูกๆอย่างไร
ผมเองก็ไม่เคยสอนอะไรลูกนะ ผมมีลูกสาวอยู่ 2 คน คนโต (เหมือนแพร สุภาพงษ์) เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ส่วนคนเล็ก (พิมพ์แข สุภาพงษ์) เรียนที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เคยมีนิตยสารฉบับหนึ่งมาสัมภาษณ์ลูกสาวคนโตถึงวิธีการเลี้ยงดูของคุณพ่อ เขาก็ถามลูกสาวผมว่าคุณพ่อสอนอะไรบ้าง ลูกผมก็บอกว่าพ่อไม่เคยสอนอะไรเลย (หัวเราะร่วน) แต่พ่อบอกไว้อย่างหนึ่งว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อจะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ คือผมมองว่าสังคมปัจจุบัน มันค่อนข้างเลวร้าย ดังนั้นโอกาสที่ลูกจะผิดพลาดมันเกิด ขึ้นได้ตลอดเวลา ผมจึงมีปรัชญาในการเลี้ยงลูกอยู่ 2 ข้อคือ ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของลูก และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลูกเสมอ ซึ่งเวลาที่ลูกต้องการเราที่สุดก็คือเวลาที่เขามีความทุกข์นี่แหละ
• ในฐานะคุณพ่อคนหนึ่ง คุณโสภณอยากฝากอะไรถึงคุณพ่อท่านอื่นๆไหมคะ
ก็อยากฝากถึงคุณพ่อทุกคนว่า เราอย่าไปสนใจแค่ว่า ลูกจะประสบความสำเร็จชีวิตไหม จะได้เป็นนั่นเป็นนี่ไหม คอยดีใจเสียใจกับลูก.. แต่อยากให้มองว่าเราทำหน้าที่พ่อ ได้ดีที่สุดหรือยัง ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่คำสอนที่เราบอกกับลูก เพราะบางครั้งคำสอนอาจเป็นแค่สิ่งที่เราอยากได้จากลูก แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือพฤติกรรมที่เราทำอยู่ทุกวัน ซึ่งมันจะเป็นแบบอย่างและเบ้าหลอมให้แก่ลูก
.........
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ และเสียสละของผู้ชายที่ชื่อ ‘โสภณ สุภาพงษ์’ นั้น หาใช่ความคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากแต่เป็นเบ้าหลอมทาง ปัญญาที่เกิดจากน้ำมือของผู้ชายที่เขาเรียกว่า‘พ่อ’
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 73 ธ.ค. 49 โดย จินดาวรรณ)
วันเกิด โสภณ สุภาพงษ์ นักธุรกิจและนักพัฒนาชุมชนเจ้าของรางวัลแมกไซไซ
11 ก.ย. 2489 05.00 น.
12 กันยายน พ.ศ.2489 : วันเกิด โสภณ สุภาพงษ์ นักธุรกิจและนักพัฒนาชุมชนเจ้าของรางวัลแมกไซไซ
12 กันยายน พ.ศ. 2489 วันเกิด โสภณ สุภาพงษ์ นักธุรกิจและนักพัฒนาชุมชนเจ้าของรางวัลแมกไซไซเกิดที่จังหวัดราชบุรี จบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าทำงานด้านน้ำมันครั้งแรกที่บริษัทเอสโซ่ แสตนดาร์ด ประเทศ ไทย จำกัด เมื่อปี 2512 จากฝ่ายก่อสร้างและย้ายไปฝ่ายวางแนวโรงกลั่น สั่งสมประสบการณ์ได้ 13 ปีก็ลาออกไปทำงานที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เติบโตจนได้เป็นรองผู้ว่าการ ปตท. จากนั้นปี 2538 ได้เข้าทำงานที่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โดยคำเชิญชวนของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ให้มาบริหารบางจากฯ ซึ่งกำลังประสบภาวะขาดทุนกว่า 4 พันล้านบาท ภายในห้าปีโสภณสามารถทำให้บางจากฟื้นตัวได้กำไรคืนมา 5-8 ร้อยล้านบาทต่อปี พร้อมกับการสร้างจุดยืนในด้านสิ่งแวดล้อม สนับสนุนวิถีผลิตแบบชุมชน เศรษฐกิจพอเพียง และเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ ส่งผลให้เขาได้รับพระราชทาน รางวัลบุคคลดีเด่นแห่งชาติสาขาพัฒนาเศรษฐกิจ ในปี 2539 และได้รับรางวัล แมกไซไซ (Ramon Magsaysay Award) สาขางานบริการสาธารณะประจำปี 2541 ภายหลังโสภณพยายามต่อสู้เพื่อบางจากกลายเป็นบริษัทน้ำมันของคนไทยอย่างแท้จริง โดยพยายามผลักดันเสนอขายหุ้นบางจากให้กับประชาชนในสัดส่วน 32 % ปรากฏว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ผู้บริหารระดับสูงทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการประจำมีความเห็นหุ้นบางจากควรขายให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพราะจะได้ประโยชน์เป็นเม็ดเงินจำนวนมากกว่าการขายให้กับคนไทย หลังจากผลักดันนโยบายนี้มาตลอดเวลาหนึ่งปีไม่สำเร็จ โสภณก็ตัดสินใจลาออกในวันที่ 14 มิถุนายน 2542 ออกมาเป็นนักพัฒนาชุมชนเต็มตัว นอกจากนี้โสภณยังเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดกรุงเทพมหานครและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีหลายสมัย เป็นอนุกรรมการในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้รับผิดชอบโดยตรงกับการตรวจสอบกรณีผู้ถูกอุ้มฆ่า สูญหาย บาดเจ็บ ทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกรรมาธิการวุฒิสภาสอบสวนการสูญหายของคุณสมชาย นีละไพจิตร ทนายความที่ช่วยทำคดีให้ชาวบ้านที่ถูกฟ้องร้องอย่างไม่เป็นธรรม และเป็นหนึ่งในกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ โสภณได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจตีนติดดิน ทำงานเพื่อสังคมมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันนี้