วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อย่าเพิ่งพิพากษาใคร






**************************************************************






**********************************************************


**********************************************************



ครูอุ๊เล่าชีวิตตอนเด็ก“(05:17) เหมือนครูถูกตัดสินตีตราไปเรียบร้อยแล้ว
 ไอ้เด็กคนนี้มันไม่เก่ง ทำอะไรไม่ได้หรอก ถูกกระทำซ้ำๆ จนครูเชื่อ
ใช่ เราทำไม่ได้หรอก เราดีไม่ได้หรอก เราเก่งไม่ได้หรอก เราได้แค่นี้แหละ ความรู้สึกเชื่อมั่นในตัวครู ถดถอยลงทุกวัน เคยคิด ไม่ฮะ อยากจะเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ แต่อย่า อย่าคาดหวังเลย เราไม่ใช่คนเก่ง และหัวดีขนาดนั้น
นี่ไง นี่แหละ ความคิดของคน ที่ขาดศรัทธาในตัวเอง

อุไรวรรณ ศิวะกุล
https://youtu.be/XIVFyHU79J0



**********************************************************

ชมพู่ ก่อนบ่ายคลายเครียดเล่นเปียโนและร้องเพลงฝรั่ง ตั๊กศิริพรก็ร้องเพลงฝรั่ง
https://youtu.be/67yjfQog9ns


*************************************************************


“เมื่อมันมาถึงการแปะป้าย มันจะหาความต่างในเชิงลบเสมอ
เมื่อส่องไฟฉาย อย่าส่องตรงอย่างเดียว ส่องขึ้น ส่องลง ส่องไปรอบๆ“
https://youtu.be/48A9SU6_bQ8


*************************************************************

จากเว็บพูดไป2ไพเบี้ย ยิ่งเสียตำลึงทอง

ที่ร้านไอศกรีมแห่งหนึ่ง

ในขณะที่คนกำลังแน่นร้าน เด็กผู้หญิง
ท่าทางน่ารัก เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับสั่งไอศกรีม
"พี่ค่ะ อันนี้ราคาเท่าไหร่ค่ะ"
พนักงานเสริฟสาวตอบแบบห้วนๆว่า
"80 บาท"
เด็กผู้หญิงก้มลงไปนับเหรียญที่เธอกำมา สักครู่จึงกล่าวว่า
"เงินไม่พอ ขอลดไอติมลงลูกนึง ราคาเท่าไหร่ค่ะพี่"
พนักงานเสริฟ กระแทกเสียงด้วยความรำคาญกลับไปว่า
"70บาท ลดไม่ได้แล้วนะ!!"
เด็กผู้หญิง ยิ้มแล้วพูดว่า
"ขอบคุณค่ะ หนูเอาแบบ 70 บาทนี้ค่ะ"

เมื่อทานไอศกรีมเสร็จ เด็กผู้หญิงจึงเดินจากไปพร้อมเงิน
ที่วางอยู่บนโต๊ะ
พนักงานเสริฟกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง
สิ่งที่พนักงานเสริฟเห็นคือ เงินสองกองที่วางอยู่บนโต๊ะ

กองแรก เงิน 70 บาทวางอยุ่บนบิลค่าไอศกรีม
กองที่สอง เงิน 10 บาท วางอยู่บนกระดาษที่เขียนว่า

"เงินทิป 10 บาทของพี่นะค่ะ"

Everyone has their own story
อย่าตัดสินหนังสือเพียงเพราะหน้าปก เปิดอ่านสักนิด
มันอาจจะเป็นหนังสือที่ดีที่สุดในชีวิตคุณก็ได้



ในทางโลกมีอะไรอีกมากที่ยังไม่รู้ เรียนกันไม่จบสิ้น คิดว่าเก่ง ก็ไม่ใช่ เพียงแต่เรายังไม่รู้จักคนเก่งกว่าแค่นั้น จะมาสรุปว่าเราเก่งกว่าใคร คิดมาก

ในทางธรรมเท่านั้นที่ใช้คำว่า“จบ“ได้ พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องหาคนมารับรอง
รู้ได้ด้วยตัวเอง

***************************************************************

เจ๊ดาหนังโฆษณาให้แง่คิด

***************************************************





**************************************************************************

ตัดสินว่าร้องเพี้ยนเพราะหน้าตาเหรอ

https://youtu.be/2k65GtVmmos

ชั่วฟ้าดินสลาย สัญญาใจ คนไหนบอก →ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน

คลิปเพลงโดยพลพลและเงาเสียง https://youtu.be/U3EkMFESc5A

ในทางโลกมีอะไรอีกมากที่ยังไม่รู้ เรียนกันไม่จบสิ้น คิดว่าเก่ง ก็ไม่ใช่ เพียงแต่เรายังไม่รู้จักคนเก่งกว่าแค่นั้น จะมาสรุปว่าเราเก่งกว่าใคร คิดมาก

ในทางธรรมเท่านั้นที่ใช้คำว่า“จบ“ได้ พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องหาคนมารับรอง
รู้ได้ด้วยตัวเอง



นศ.ปี 3 คณะเศรษฐศาสตร์ ม.กรุงเทพ เหมาะสมอย่างย่ิงกับคำว่า "เน็ตไอดอล" เนื่องจากเธอหารายได้ช่วงปิดเทอมด้วยการเป็น รปภ.วันละ12ชั่วโมง 465บาทที่ห้างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/984757

*****************************************************************************



"ด้ายสีขาว"บนเสื้อสีเขียว ที่สะกิดใจ 

คนไข้หายใจหอบเหนื่อยมากมา 1 สัปดาห์ แต่เพิ่งมารพ.
พอตรวจร่่างกายก็พบว่าหอบจริง หอบมาก ถ้ามาช้ากว่านี้อาจจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจ
"แล้วทำไมคุณลุงเพิ่งมารพ. ล่ะ ถ้ามาช้ากว่านี้ ...
" บอย(หมอบอย)พูดไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
เพราะคิดและตัดสินเอาเองอย่างเร็วว่าคุณลุงควรมารพ.เร็วกว่านี้
แต่ยังพูดไม่ทันเสร็จ สายตาดันไปเหลือบเห็น ด้ายสีขาวบนเสื้อสีเขียว
ด้ายที่ทำให้ความหงุดหงิดของบอยค่อยๆหายไป
ก่อนที่คุณลุงพยายาพูดตอบกลับมาว่า
"ก็ลุงไม่มีรถและไม่มีเงินเหมารถคนอื่นให้มารพ.
ก็เลยทนอยู่บ้านเผื่อว่าจะดีขึ้น พอดีวันนี้ญาติมารพ.พอดีก็เลยถือโอกาสติดรถมาด้วย"
คำตอบของคุณลุงขยายความด้ายสีขาวที่เห็นด้วยตา
และขยายใจบอยให้เห็นที่มาของความหงุดหงิด
ใจที่มันเร็ว ไปตัดสิน และต่อว่าคุณลุงด้วยน้ำเสียงก่อนแล้ว ว่าทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง
คงเป็นเพราะบอยให้ความสำคัญของโรคมากกว่าคน
จึงทำให้บอยตัดสินไปว่า ที่โรคมีอาการแย่เป็นเพราะคุณลุงมาช้า
ดังนั้นคุณลุงคือคนผิด คุณลุงคือคนที่ทำให้โรคมันแย่ลง (ทั้งๆที่่โรคไม่ควรจะแย่หากมารักษาเร็ว) จริงๆแล้วไม่ใช่ความผิดของคุณลุงที่ไม่ดูแลตัวเอง
แต่คงเป็นความผิดของบอยมากกว่าที่ไม่รู้จักคนไข้ ...
คนที่ยากจนและอยู่ไกล
เวลาเจ็บป่วยเขาก็มักจะมีแนวโน้มที่จะพยายามดูแลตัวเอง
ภายใต้ข้อจำกัดก่อน หากหนักไม่ไหวก็ค่อยมารพ.
เป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ความธรรมดาบอยกลับมองข้ามไป

          การรู้จักคนไข้ ยังนำไปสู่โอกาสพัฒนาระบบที่เอื้อให้คนกลุ่มนี้เข้าถึงรพ.ได้ง่าย
การให้คนไข้รู้ว่าเมื่อไหร่ควรมารพ.
รู้ว่าควรช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นอย่างไร
 เป็นอีกครั้งที่บอยมุ่งรักษาโรค มากกว่ารักษาคน
"ด้ายสีขาว"บนเสื้อสีเขียว ที่สะกิดใจ
นี่แหละการให้บริการแก่ผู้ป่วยด้วยใจที่เหนือกว่ามาตรฐาน HA
https://m.facebook.com/photo.php?fbid=669079639800706&id=100000960286216&set=a.509003595808312.1073741825.100000960286216
                           
****************************************************************************
                                                           อึ้ง

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1317838581633716&id=194640613953524

*****************************************************************************

อย่าตัดสินผู้อื่นเร็วเกินไป

เด็กหนุ่ม อายุ 24 ปี ทอดสายตามองไปที่หน้าต่างรถไฟ และตะโกนร้องว่า

พ่อ ดูนี่ซิ “ต้นไม้มันวิ่งไปข้างหลัง มันวิ่งเร็วมากเลยนะ”

ผู้เป็นพ่อได้แต่จ้องมองเขาเขม็งด้วยแววตาเปี่ยมสุขและเปื้อนรอยยิ้ม

คู่สามี-ภรรยาที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ มองเด็กหนุ่ม อายุ 24 ปีคนนี้ และคิดในใจ
อะไรกัน โตขนาดนี้แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็ก สงสัยจะมีปัญหาทางจิต ดูซิ แม้แต่พ่อเค้ายังไม่สนใจเลย

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มอุทานเสียงดังขึ้นมาอีก

พ่อ ดูโน่น “ก้อนเมฆมันวิ่งมากับพวกเราด้วย”

คู่สามี-ภรรยาอดใจไม่ไหว จึงพูดกับผู้เป็นพ่อว่า

ทำไมคุณไม่พาลูกชายไปหาหมอดี ๆ เช่น จิตแพทย์ ก็น่าจะดีนะ?

ชายชราผู้เป็นพ่อยิ้มและตอบว่าผมเพิ่งพาไปครับ

เราเพิ่งพบแพทย์กันมาแต่ไม่ใช่จิตแพทย์หรอกครับ

เราเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลกันครับ

ลูกชายผมตาบอดมาแต่กำเนิด

เค้าเพิ่งจะมองเห็นวันนี้เป็นครั้งแรก

พฤติกรรมของเค้าอาจจะดูงี่เง่าสำหรับพวกคุณ แต่มันคือปาฏิหารย์สำหรับผมครับ


คู่สามี-ภรรยา ต่างนั่งอึ้ง พูดไม่ออก

น้ำตาเอ่อท้น และรู้สึกเสียใจ-อับอายเป็นอย่างยิ่ง

ทุกคนบนโลกใบนี้ต่างมีเรื่องราว

อย่าตัดสินผู้อื่นเร็วเกินไป อย่าด่วนสรุปสิ่งที่คุณไม่รู้จริงในเรื่องที่เป็นส่วนตัวของเขา

คุณไม่มีทางทราบหรอกว่าเขามีความเป็นมาอย่างไร หรือเขาต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง

เมื่อความจริงเบื้องหลังเรื่องราวของเขาถูกเปิดเผย คุณอาจจะแปลกใจ

โปรดทำตัวสบาย ๆ กับคนอื่น (นัยยะคือ อย่าคิดไม่ดี อย่าหาเรื่อง) แม้ว่าคุณจะมีชีวิตที่สมบูรณ์
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1366444560137833&id=303877426394557


*********************************************************************************

มีคนตาบอดคนหนึ่ง  ทุกๆค่ำคืนจะถือตะเกียงสว่างดวงหนึ่ง

คนอื่นเห็นเข้า รู้สึกประหลาดใจ จึงถามเขาว่า คุณตามองไม่เห็น เหตุใดใยต้องเดินถือตะเกียงอีก

คนตาบอดตอบอย่างไม่อ้อมค้อม เหตุผลนั้นง่ายมาก ที่ฉันถือตะเกียง ไม่ได้เพื่อส่องทางให้ตัวเอง

แต่เพื่อส่องทางให้คนอื่น ให้เขาเห็นฉัน จึงไม่เดินมาชนฉัน  

ด้วยเหตุอย่างนี้  การช่วยเหลือคนอื่น ย่อมช่วยรักษาตัวเราเองด้วย
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1334944343287855&id=303877426394557



****************************************************************************

                         
                               
                                     

ความผิดพลาดในชีวิตบ่อยครั้งเกิดจากการด่วนสรุปหรือผลีผลามตัดสิน โดยไม่สอบถาม หรือฟังผู้ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน จริงอยู่คนเราเมื่อเห็นหรือได้ยินอะไร ก็อดไม่ได้ที่จะตีความหรือหาความหมายจากสิ่งนั้น รวมทั้งคาดเดาถึงที่มาที่ไปของมัน แต่หากเราตระหนักหรือระลึกว่านั่นเป็นแค่ “ความคิด” ซึ่งอาจผิดหรือถูกก็ได้ เราก็จะไม่ด่วนสรุปว่ามันเป็น “ความจริง” ทำให้พร้อมที่จะรับฟังข้อเท็จจริงหรือความเห็นที่ต่างออกไป

ปัญหาก็คือคนเรามักด่วนตัดสินโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่คิดนึกหรือคาดเดาอะไรขึ้นมาได้ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่ามันเป็นความจริงหรือสิ่งที่ถูกต้อง จนไม่ยอมเปิดใจรับฟังอะไรที่ต่างจากความคิดนั้น ผลก็คือความคิดนั้นกลายเป็นนายเรา ควบคุมบงการให้เราพูดหรือทำตามมัน ดังที่บงการแก้วให้ต่อว่าแม่ด้วยความไม่พอใจ

การมีสติรู้ทันความคิดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราไม่ด่วนสรุป หรือหากเผลอด่วนสรุปไปแล้ว ก็รู้ตัว และวางมันไว้ก่อน ไม่ปล่อยให้มันบงการจิตใจ พร้อมเปิดใจรับฟังผู้อื่น หรือตามดูเหตุการณ์ให้แน่ใจ ซึ่งบ่อยครั้งช่วยให้ไม่เผลอทำสิ่งผิดพลาด ที่ทำให้ต้องเสียใจในภายหลัง

อังคณา มาศรังสรรค์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “ผลัดใบชีวิต” เล่าว่า วันหนึ่งเธอชวนลูกไปเดินเล่นในสวน ลูกชายทั้งสองเดินไปก็แหย่หยอกกันไป เธอเดินตามหลังลูก เห็นแล้วก็ลุ้นในใจว่า ลูกจะตีกันไหมหนอ สักพักก็เห็นคนพี่หันไปทำท่าเหมือนตีหัวน้อง เธอเกือบจะหลุดปากออกไปปรามลูกว่า “เล่นกันดี ๆ ลูก ทำไมต้องตีหัวน้อง” แต่แล้วก็ยั้งเอาไว้ เพราะเกรงว่าน้องจะรู้สึกมีพวก และหันมางอแงหาแม่ให้ช่วย

ครู่ต่อมาเธอเห็นคนพี่ตีหัวน้องอีกครั้ง คราวนี้เธอเห็นความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นมา แต่ไม่ทันจะทำอะไรไป ก็ได้ยินลูกคนโตพูดว่า “เดี๋ยว ๆ ยังไม่ออกเลย มดตะนอยเกาะอยู่ เดี๋ยวโดนกัดหรอก”

เธอได้ยินก็อมยิ้ม รู้สึกดีใจที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป หาไม่ลูกชายคงจะเสียใจมากกับคำพูดของแม่ที่เข้าใจลูกผิด

คงไม่มีอะไรที่ทำให้ลูกเสียใจมากเท่ากับถูกแม่ตำหนิทั้ง ๆ ที่ตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ผู้เป็นลูกมักหนีไม่พ้นที่ต้องเจอเรื่องทำนองนี้ โดยที่แม่ก็หารู้ไม่ว่าได้ทำอะไรลงไป เพราะคิดเสมอว่าแม่ย่อมรู้ดีกว่าลูก

หนังสือเล่มเดียวกันนี้เล่าถึงคุณแม่ผู้หนึ่ง เธอชอบพาลูกสาววัย ๕ ขวบเดินชมสวน เธออยากให้ลูกมีนิสัยรักธรรมชาติ ระหว่างที่เดินมักจะเตือนลูกไม่ให้เด็ดดอกไม้ แต่ลูกก็มักจะทำตรงข้าม เธอเห็นคราวใดก็ตีมือลูกเบา ๆ พร้อมกับพูดเสียงแข็ง “แม่บอกหลายครั้งแล้วนะ ไม่ให้เด็ดดอกไม้” บ่อยครั้งที่ลูกสาวมีอาการงอน เสียใจ ขณะที่เธอรู้สึกกังวลที่ลูกสาวเป็นคนดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังแม่

มีช่วงหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้ช้าลงและไม่ด่วนสรุป เธอจึงอยากทดลองใช้กับตัวเองบ้าง วันหนึ่งขณะที่เดินเล่นกับลูกสาว เธอเห็นลูกน้อยเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ เธอรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาทันที แต่เตือนตนไม่ให้ผลีผลามทำอะไร นึกในใจว่า “ลองช้าสิ ลองไม่ตัดสินสิ ดูก่อน ลูกจะเอาดอกไม้ไปทำอะไร” ลูกเด็ดดอกไม้เสร็จเธอก็เดินตามลูกไป พอกลับถึงบ้านลูกถามหาชามเล็ก ๆ แม่ถามว่าจะเอาไปทำอะไร

“ใส่ดอกไม้ค่ะ เวลาพ่อกินข้าว จะได้ดูดอกไม้สวย ๆ” ลูกตอบ

แม่น้ำตาคลอทันที คิดมาตลอดว่าลูกเป็นคนดื้อ หากเธอด่วนสรุปด่วนตำหนิเหมือนเคย ก็คงไม่รู้ว่าลูกสาวมีน้ำใจงดงามเช่นนี้

ความสัมพันธ์ในครอบครัวแม้เริ่มต้นด้วยความรัก แต่มักปริร้าวจนแตกแยกก็เพราะผู้คนไม่ค่อยฟังกัน แม้จะได้ยินด้วยหู เห็นด้วยตา แต่เมื่อมีข้อสรุปล่วงหน้าแล้ว ใจก็ปิดไม่ยอมรับรู้ความเห็นต่าง จึงยากที่จะเข้าใจกันได้ ทำให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง ความรักจึงกลายเป็นความมึนตึงและความเกลียดชังกันในที่สุด

อย่าเพิ่งด่วนสรุป ตัดสินช้าลงสักนิด พึงระลึกว่าความจริงนั้นเป็นมากกว่าสิ่งที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู หรืออาจตรงข้ามกับสิ่งที่คิดในใจก็ได้ แม้จะมีข้อสรุป ก็เผื่อใจไว้บ้างว่าความจริงอาจมิใช่เป็นอย่างที่คิด ลองสอบถามหรือดูต่อไปสักนิด เราอาจเห็นความจริงอีกด้านหนึ่งที่งดงามของคนที่เรารัก

ที่มา...นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ ๓๑๒ :: กุมภาพันธ์ ๕๔ ปีที่ ๒๖

                                    *******************************************************************************


อย่าตัดสินคนที่เครื่องแต่งกาย  https://youtu.be/rQtYMU4JSMw

*******************************************************************************


***********************************************************************
จับคนเร่ร่อนมาแปลงโฉม 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น