วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561
อาทิตย์ อุไรรัตน์
อาทิตย์ อุไรรัตน์ กับมุมมองประเทศอย่างเข้าถึง
จุดแข็งของประเทศไทยที่มองเห็น ผมมองว่ามีอยู่ 4 ด้านที่เป็นจุดที่มหาวิทยาลัยรังสิตมุ่งไปคือ
1. ด้านเกษตร วันนี้ไม่มีใครสนใจ กลายเป็นเรื่องที่ตกต่ำในประเทศไทย คนทำก็ยากจน แต่ผมคิดว่ามันเป็นเพชรที่ไม่ได้เจียระไน เป็นจุดแข็งที่เรามองไม่เห็น เราอย่าไปอยากเป็นแบบคนอื่นเขา
เราเป็นไม่ได้หรอกประเทศอุตสาหกรรม จะเป็นประเทศอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ เราก็คงเป็นไม่ได้ เพราะเราสู้เขาไม่ได้ แต่เกษตรเราเป็นได้ แต่เราก็ไม่เห็น ผมจึงตั้งวิทยาลัยนวัตกรรมเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ และอาหารขึ้นมา
2. การแพทย์ 3. ท่องเที่ยว และ 4. ครีเอทีฟอาร์ต ฝีมือด้านศิลปะ ตั้งแต่สถาปัตยกรรม ดีไซน์ การออกแบบ นิเทศศาสตร์ ดนตรี ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงมุ่งไปทาง 4 ด้านนี้อย่างเข้มแข็ง
การท่องเที่ยวก็ต้องตีความให้กว้าง ไม่ใช่แค่พาไปเที่ยวหรือการโรงแรมเท่านั้น แต่การท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่การเดินทางมา นักบิน ซ่อมเครื่องบิน งานบริการบนเครื่องบิน หรือการรถไฟ เราก็เปิดหลักสูตรรถไฟในคณะวิศวกรรม
ขณะที่หลักสูตรการบิน เรามีนักบิน ซ่อมบำรุงอากาศยาน เรามีธุรกิจการบิน เรามี Chef School ไทย Chef School นานาชาติร่วมกับฝรั่งเศส คือมันมีทางทำได้เยอะแยะ อย่าไปงอมืองอเท้า
ประเทศไทยเป็นประเทศที่สบายมาตลอด อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ชีวิตไม่ต้องแก่งแย่งกัน อยู่สบายมาเรื่อยๆ เรียงๆ เราไม่ได้เป็นอย่างญี่ปุ่น อย่างสิงคโปร์ อย่างฮ่องกง เกาหลี หรือเวียดนาม ประวัติชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ยากลำบากมานาน แต่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง
แต่เมื่อวิวัฒนาการผ่านระยะมา เราควรจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ต้องเร็วเหมือนประเทศที่ว่ามา แต่บังเอิญเราก็ถูกนำด้วยสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ไปในทิศทางซึ่งมันมาทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
คุณภาพอย่างนี้ที่เราอยากให้เกิดขึ้น แล้วต้องกว้าง ต้องรวม ไม่ใช่ใครเป็นนักบัญชีแล้วทำแต่บัญชี แต่อาจจะต้องรู้ชีวิตทุกอย่าง ก็ยังพยายามทำและผลักดันอยู่
อย่างเช่นวันนี้ บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน ก็พยายามให้เพียงพอ อย่างพยาบาลขาดแคลนมาก ทั่วโลกก็ขาดแคลนด้วย แต่บางประเทศอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เขาบอกว่าเขาผลิตเพื่อการส่งออก ก็เป็นโอกาสเขา
แต่เราไม่ได้คิดเลย คิดแต่เพียงว่าไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอัตราเงินเดือน ฉะนั้น ไม่ผลิต ทั้งๆ ที่เรามีความสามารถที่จะผลิตได้ ก็ไม่ผลิต พอก็ไม่พอ ขาดก็ขาด ประชาชนก็ได้รับความเดือดร้อน
ล่าสุดเราก็ร่วมผลิตกับทางโรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลนพรัตน์ ประเด็นคือมันต้องทำ มันมองเห็นอยู่แล้วว่าควรจะทำ แต่เรามัวทำอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้
อย่างหลักสูตรนักบินซึ่งเป็นแห่งแรกที่เราผลิตนักบิน แล้วไม่ใช่แค่ประเทศไทย ประเทศอื่นก็ต้องการ
มันก็ต้องทำให้เห็น คุยกันเรื่องแนวทาง ถามว่าจะผลิตนักบิน ถ้าหากทางหน่วยควบคุมหรือกระทรวงศึกษาบอกว่ามีสนามบินหรือเปล่า มีเครื่องบินหรือเปล่า แล้วจะเปิดได้ยังไง ก็เราไม่มี แต่เราเปิดได้ ร่วมมือกันได้ ทำไมถึงร่วมมือไม่ได้ล่ะ
ถามว่าดีไหม ก็ดี แต่เขาไม่คิดไง เขาคิดว่าจะเปิดโรงเรียนแพทย์ต้องมีโรงพยาบาลเป็นของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมีใครเปิด อยู่ไปอย่างนี้ มันก็ต้องเปิดแนวคิดกว้างบ้าง เปิดขอบฟ้าบ้าง ไปถือเขาถือเราทำไม เราทำเพื่อประเทศ ไม่ใช่เพื่อเรา
บางคนบอกว่าหมอคนนี้ไม่ใช่ปริญญาเอก ต้องปริญญาเอกถึงจะมาเป็นอาจารย์ เราก็บอกว่า หมอที่ได้บอร์ดเทียบเท่าปริญญาเอก เขาถึงยอมรับ อาจารย์การบินไม่ได้ปริญญาเอก ก็บอกว่า มันมีไหมล่ะในโลกนี้ Ph.D. ทางด้านการบิน แต่เรามีพลอากาศเอก ใช้ได้ไหมล่ะ
งานวิจัยอย่าไปคิดแต่งานวิจัยขึ้นหิ้งเป็นเล่มๆ หมอเวลาเขาปฏิบัติเขาผ่าตัดมากขึ้นๆ เป็นงานวิจัยภาคปฏิบัติจริงๆ ผ่าตัดดีขึ้น รักษาคนให้หายมากขึ้น นั่นล่ะคืองานวิจัยที่มีคุณค่าที่แท้จริง เราต้องให้ความคิดแบบนี้กับเขา
บางทีประเทศเรามีอะไรเยอะแยะ เราไม่ค่อยเห็นคุณค่า ทำให้ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร ต้องมีปริญญาเท่านั้น คนไทยยึดติดรูปแบบ เจ้าขุนมูลนาย ผมถึงบอกว่าการศึกษาไทยต้องไม่เจ้าขุนมูลนาย ไม่ยึดติดรูปแบบ แบ่งชั้นวรรณะ ดูถูกเหยียดหยาม แต่วันนี้มีความคิดแบบกระพี้ๆ ไม่ดูแก่นของเรื่อง
หมายเหตุ : หนังสือ อาทิตย์ อุไรรัตน์ “แกะดำโลกสวย”
https://thaipublica.org/2016/06/arthit-ourairat-12-6-2559/
วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
เรื่องท่านเล่า(เสียงอ่าน) นิทานฟังได้แง่คิด
|
ครูสอนคณิตศาสตร์ พูลศักดิ์ เทศนิยม
ในฐานะที่เป็นวิทยากรฝึกอบรมในปัจจุบัน กับความฝันที่อยากเป็นครูในวัยเด็ก ทำให้ทุกวันนี้ผมชอบศึกษาเรียนรู้ ชีวิตครู ทั้งครูที่เป็นแบบอย่างที่ดี และครูที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ ...
ล่าสุดนี้ผมได้อ่านเรื่องราวของครูคนหนึ่ง ในคู่สร้างคู่สม (ฉบับเดือนมกราคม 2554) ขื่ออาจารย์ พูลศักดิ์ เทศนิยม
ท่านเป็นอดีตครูสอนคณิตศาสตร์และผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร
และเคยเป็นอดีตติวเตอร์ชื่อดังที่มีคนมาจองกวดวิชามากถึงขนาดได้เงิน 20 ล้านในวันเดียว!! ไปรู้จักครูท่านนี้กันซักหน่อยครับ
ท่านเป็นคนนครปฐมครับ เรียนจบวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และสอบติดที่นั่นเป็นครั้งแรก โดยไม่เคยมาสอบแข่งขันมาก่อน คนสอบสมัยนั้นเป็นหลาย ๆ พัน
เมื่อได้ฝึกสอนเด็ก ๆ ท่านก็เริ่มรักอาชีพครู ไปเรียนต่อ ปกศ.สูง เทียบเท่ากับอนุปริญญา ผลการเรียนก็พื้น ๆ
จนกระทั่งได้เรียนคณิตศาสตร์กับอาจารย์ท่านหนึ่ง สอนแคลคูลัส ทำให้ท่านเข้าใจเรื่องยาก ๆ ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นมาท่านก็ชอบวิชาคณิตศาสตร์ รู้เรื่องแคลคูลัสอย่างแตกฉาน
จากนั้นท่านก็สอบเข้าเรียนต่อปริญญาตรี กศบ.(การศึกษาบัณฑิต) อีก 2 ปี ที่ มศว(มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) ตอนนั้นมีที่เดียว ที่เปิดคณะศึกษาศาสตร์เป็นที่แรก
สมัยก่อนใครสอบเข้าที่นั่นได้ ก็สุดยอดของประเทศ เลยทีเดียว ท่านเลือกเรียนคณิตศาสตร์ เป็นวิชาเอก
พอเรียนก็เริ่มต้นเป็นครูที่โรงเรียนสาธิต มศว ตั้งแต่ปี 2512 จนเกษียณ ทำงานเป็นครูมา 40 ปี อยู่ที่โรงเรียนนี้มาตลอดชีวิตราชการ
ท่านเริ่มอาชีพติวเตอร์กวดวิชา จากการที่ ตอนเย็น ๆ ท่านจะสอนนักเรียนที่เรียนไม่ทัน สอนฟรี พอหมดเดือนเด็กนักเรียนก็เอาของมาให้ มาขอบคุณท่าน
วันดีคืนดีมีอาจารย์คนอื่นมาชวนไปสอนข้างนอกเพราะเด็กมาเรียนเยอะขึ้น ไม่ใช่แค่เด็กในโรงเรียน จนวันนึงผู้ปกครองคนนึงให้ไปสอนลูกเขาที่แถวราชดำเนิน ตึกของเขาชั้นล่างเป็นติวเคมี เขาก็ชวนให้มาติวเลขชั้นบน
พอติวไปเรื่อยๆ ท่านก็รู้สึกว่าตัวเองเก่ง สอนเด็กคนนั้น ก็สอบได้ที่ 1 คนนี้ก็ได้ที่ 1 คนพูดไปพูดมาจนกลายเป็นที่ 1
ท่านสอนมาแล้วทุกโรงเรียน เป็นอาจารย์พิเศษ ร.ร.เตรียมฯ สาธิตจุฬาฯ ราชินี, เซนต์โยฯ สวนกุหลาบฯ, มาแตร์, อัสสัมชัญฯ ตั้งแต่โรงเรียนในเมืองไปจนโรงเรียนไกลๆ บ้านนอก ไปสอนหมดร้อย ๆ โรงเรียนมาจองให้ไปสอน
สอนกวดวิชา จนชื่อเสียงโด่งดัง มีคนมาชวนไปทำรายการทีวี ผมทำรายการสอนทางทีวี ช่อง 3, 5 ,7, 9, 11 ทุกช่อง ทำรายการตอบปัญหาคณิตศาสตร์ด้วยสอนเตรียมเอนทรานซ์
พอทำตอนนั้นก็เริ่มดังมากขึ้น ๆ คนมาสมัครเรียนกวดวิชาเยอะมากจนต้องเอาแฟนมาเก็บเงิน จ่ายล่วงหน้า 1 ปี แล้วอีกปีค่อยมาเรียนนะ สอนเดือนละ 1,000 จ่ายล่วงหน้า 10,000 บาทต่อหัวต่อคน มีคนมาเรียน 2,000 คน ได้ค่าสอนล่วงหน้าตั้ง 20 ล้านบาท
สอนตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ถ้าวันธรรมดาก็สอนตั้งแต่ 5 โมงถึง 1 ทุ่ม สอนชั้น 3 แล้วต่อวิดีโอมาชั้น 2 ชั้น 1 จนต่อมาขยายไปสอนอีก 2 สาขา จะมาเรียนต้องจองล่วงหน้าก่อน 6 เดือน เป็นอย่างน้อย
ตอนที่ท่านไปเปิดติวเตอร์ที่ฝั่งธนฯ มีเด็กเรียนเยอะมาก พอได้เงินมาเยอะ ไม่รู้ทำไง ตอนกลับบ้านนั่งรถมาที่ห้างเซ็นทรัล ข้างล่างมีโชว์รูมเบนซ์ ท่านก็เดินดูแล้วก็บอกคนขาย “เอาคันนี้” เอาเงินที่เพิ่งเก็บได้ไปมัดจำ ตอนนั้นรถ 3-4 ล้าน ท่านมัดจำคนขายไป 1 ล้านกว่า
ช่วงหนึ่งของบทสัมภาษณ์ มีคำถามเด็ดมาก คนถาม ๆ ว่า ...
“โทษนะคะ ตอนนั้นจิตวิญญาณความเป็นครูหายไปไหมคะ ?”
อาจารย์พูลศักดิ์ ตอบว่า ...
“ไม่ถึงขนาดนั้น แต่มาสะดุดใจตอนปี พ.ศ. 2531 ตอนนั้น อ.อารี สัณหฉวี อาจารย์ใหญ่ ร.ร.สาธิตเชิญ Professor Hotchkis, G.D. จากมหาวิทยาลัย Macquarie ประเทศออสเตรเลียมาเลกเซอร์เรื่องการสอนแบบ mastery learning ให้พวกครูสาธิต
ตอนนั้นผมอยากสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กอัฉริยะ อ.อารีรู้เรื่องนี้เลยชวนผมมานั่งฟังแต่ผมหยิ่ง ฝรั่งจะมาสอนอะไร วิธีสอนของเขาจะมาสู้อะไรเรา
ที่ไหนได้ สิ่งที่เขาสอนทำให้เราเห็นว่า ไอ้ที่เราสอนกวดวิชา สรุปให้เด็กจำเพื่อนำไปสอบ เราควรจะสอนไหม หรือควรจสอนความรู้ที่ติดตัวเด็กไป
สอนกวดวิชาเหมือนใส่ชุดลิเก เป็นเทพ เป็นเจ้า แต่พอเล่นเสร็จ เราถอดชุดออกใช่ไหม ถอดออกมันก็ไม่ใช่เทพแล้ว
เนี่ยเราสอนเด็กเหมือนเล่นลิเก คนนี้เก่ง รำสวย ชฎาสวย แต่มันใช้กับชีวิตจริงตรงไหน ความรู้ที่เราสอนพอสอบเสร็จทิ้งหมดนะ ผมเรียกคณิตศาสตร์ลิเก วิทยา-ศาสตร์ลิเก พอแสดงเสร็จ คนดูกลับ จบ
วันรุ่งขึ้นเก็บเงินคนดูเข้ามาดูใหม่ ถ้าคุณเป็นพระเอกในลิเกคุณต้องเป็นพระเอกในชีวิตจริงได้ด้วยสิ แต่ชีวิตจริงไม่ได้เอาลิเกมาใช้เลย ”
ถามต่อ “อาจารย์จากออสเตรเลียสอนเรื่องอะไรคะ ?”
“ เขาสอนเรื่องสมการ ตอนนั้นเราคิดว่า “สมการจะมาเก่งอะไรกว่าเรา เราสอนมาแล้วทุกโรงเรียน” ...
ปรากฏว่า เขาสอนสมการสำหรับเด็กปัญญาอ่อน!! สุด ๆ เลย เขาใช้การสอนแบบ precision teaching การสอนแบบตรงเผง มันแก้พฤติกรรมของคนที่ไม่รู้จากจุดเล็กๆ
เปรียบเทียบสมมติจะแก้ใบหน้าจะแก้ที่หูก่อน ที่จุดเล็กๆ ของหู อาศัยการแก้ที่ไม่ใช่บอกให้เปลี่ยนแต่ใช้การสังเกต ให้ความรู้เกิดมาจากในตัวเอง
เช่น ผมจะสอนว่าแก้วน้ำเป็นอย่างนี้ ปกติเราก็บอกหรือเขียนรูปแล้วบอกว่าแก้วน้ำ แต่ เขาบอกว่า คนจะรับรู้ว่านี่คือแก้วน้ำต้องเกิดจากการสังเกตุแล้วรับรู้ว่านี่คือแก้วน้ำ
เขาเอาแก้วน้ำแบบต่างๆ มาให้ดู แล้วถามนักเรียนว่าใช่หรือไม่ใช่ อันนี้ใช่แก้วอันนี้ไม่ใช่ ให้เด็กรู้จักจำแนกจากการสังเกตคุณลักษณะแล้วรวมความรู้ขึ้นมาเอง เช่น ส้อมอาจจะมี 2 ขา 3 ขา ก็เรียกว่า ส้อมไม่ใช่อันนี้อันเดียวที่เรียกว่าส้อม
เขาให้ดู 2-3 นาทีว่าอันนี้ใช่ ไม่ใช่ จากนั้นเขาให้นักเรียนเลือกเองว่ามีอันไหนที่ใช่ แต่ยังไม่บอกว่าเราจะเรียนเรื่องอะไรนะ
แล้วพอคัดมาทั้งหมดที่ใช่แล้วเขาค่อยบอกว่าที่เราเรียนนี้ใช้เวลา 15 นาที เด็กทุกคนในห้องรู้เท่าเทียมกันหมดเลย เด็กเก่งใช้เวลานิดเดียว เด็กอ่อนใช้เวลานานหน่อย แต่ทุกคนรู้เท่าเทียมกัน
ตอนนั้นเขาสอนสมการครั้งแรกเขียนสมการ 20 อันแล้วแจกชีทให้นักเรียนลองกาสิอันไหนที่ใช่ แล้วพอเฉลย ให้เพื่อนแลกกันดู นักเรียนรู้หรือยัง เพื่อนทำถูกไหม
ไม่มีโง่ฉลาด มีแต่หลงลืม ไม่มีเอ็งเก่งมาก่อน ฉันโง่ แต่สอนแบบนี้มี่แต่ใช่ ไม่ใช่ผิด 2-30 อัน อาจจะหลงหรือลืม มันเป็นเรื่องธรรมชาติ
ไม่ใช่เรื่องสอน ไม่ใช่เรื่องท่องจำ ว่าครูสอนเมื่อวานแล้วทำไมไม่รู้ ต่อไปสอนเรื่องตัวแปร เขาก็วง x นี่คือตัวแปร ตัวนั้นตัวนี้คือตัวแปร
ผมเรียนจากเขาแล้วผมทรุดเลย คุณสุดยอด เราลืมเรื่อง “ความทั่วถึง” ไอ้ที่เราสอนเด็กติดแพทย์ ติดวิศวะ เราคิดว่าเราเก่ง โถ..จะไม่ติดได้ยังไง เราสอนตั้งปีกว่าแต่เด็กที่เราทิ้งไปคือเด็กที่มาเรียนกับเราแล้วไม่รู้เรื่อง
เรียนกับ อ.พูลศักดิ์ยังไม่รู้เรื่องก็ทิ้งวิชาคณิตศาสตร์ไปเลย แต่จริงแๆ คณิตศาสตร์ที่ต้องใช้กับชีวิตประจำวันมันควรจะแปะติดตัวเราไป ไม่ใช่คณิตศาสตร์ลิเก
แล้วพอเจอ professor เรารู้เลยว่าที่ผ่านมาเวลาเราสอนเราพูดวิธีเดียว เราคิดว่าพูดแค่นี้นักเรียนต้องรู้ พอนักเรียนไม่รู้เราบอกว่า “คนนี้ต้องมีอะไรผิดปกติ”
แต่จริง ๆ แล้ว “เราเองผิดปกติ” เหมือนคนเป็นหมอ คนไข้มารักษาไม่หาย เราโทษคนไข้ไหม ไม่ เพราะจริงๆ เราผิด
เรามีหน้าที่มองนักเรียนแต่ละคนในจุดเล็กๆ คนเก่งทำได้ ใช้เวลาสั้นแล้วมาดูแลเพื่อน คนอ่อนใช้เวลาเรียนมากหน่อย ต้องใช้การสังเกต สังเคราะห์แล้วบอกว่าใช่ ไม่ใช่มันสร้างความคิดขึ้นมาด้วยตนเอง
ในจิตมันต้องรวมอะไรขึ้นมาสักอย่างแล้วมันรู้ดัวยตัวเองเลย ให้ไปหยิบแก้วน้ำ ถึงแม้จะเขียนคำนี้ไม่ถูก แต่ให้ไปหยิบแก้ว หยิบถูกพอบอกสมการ รู้เลยอันนี้สมการ สื่อสารเป็นขั้นเป็นตอนแล้วใช้เวลาสอนไม่นานน้อยกว่าที่เราพูดอีก
ถือคติคนเก่งใช้เวลาน้อยคนอ่อนใช้เวลามากหน่อย เพราะฉะนั้นเวลาทำแบบฝึกหัด สมมติโจทย์มี 30 ข้อ คนเก่งให้ทำไปเลย 30 ข้อ คนอ่อนทำได้ 5 ข้อ พอแล้ว
นักเรียนทุกคนรู้เท่าเทียมกัน เขาเรียก “เต็มที่” และ “ทั่วถึง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ไม่มีในระบบการศึกษาไทย
การได้เข้าไปนั่งเรียนคือ "“เสมอภาค” แต่ “เท่าเทียม” เราไม่ได้พูดถึง จะทำให้ทัดเทียมให้นักเรียนทุกคนรู้ อยู่ที่ “ครู” ตอนProfessor Hotchkis สอนเสร็จ ผมไปไหว้เขาเลย บอกว่าประทับใจมาก ขอบคุณมาก
จากนั้นผมแจกตำราเลย แจกให้ไปเยอะ ใครอยากได้เอาไปเลย ตอนนั้นเรารู้วิธีทำให้ทุกคนที่ไม่รู้คณิตศาสตร์รู้ได้ คนที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์ให้ชอบได้ ก็จะเน้นในเรื่องนี้ และคณิตศาสตร์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เรียนเพื่อไปใส่ชฎาว่าฉันเก่งที่สุด
ตั้งแต่ตอน professor มา ความคิดเราก็เริ่มเปลี่ยนแต่ยังไม่เลิกสอนกวดวิชาเพียงแต่เพิ่มคอร์สสำหรับเรียนขั้นพื้นฐานจนหลายปีต่อมาผมป่วย กระดูกสันหลังข้อที่ 3 ทับเส้นประสาทต้องผ่าตัด
พอผ่าแล้วเดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นไปแล้วก็นั่งสอน ต้องไปสอนเพราะเขาจ่ายเงินมาแล้ว ผมทรมานมาก เป็นทุกข์มาก ผมตัดสินใจเลิกสอน เอาเงินไปคืนหมด ขายตึกเลย
ผมมีความรู้สึกมันไม่ใช่เป้าหมายในชีวิต เราทำให้เด็กดีขึ้นเป็นบุญของเรา แต่อีกส่วนหนึ่งเราทำให้เขาหลงตัวเองหรือเปล่า
เราทำให้เด็กได้เป็นนักกีฬาไปแข่งโอลิมปิก แต่เราไม่ทำให้คนส่วนใหญ่มีสุขภาพดี
เราน่าจะเอาองค์ความรู้ไปสอนเด็กส่วนใหญ่ที่ผ่านมาติวเด็ก
อาจารย์พูลศักดิ์ ได้เรียนรู้ว่าอะไรที่สำคัญกับชีวิต ตั้งแต่ตอนที่professor บอกว่าเขาทำวิจัย 10 ปี เรื่องสอนเด็กออทิสติกให้เรียนแคลลูลัสได้
แต่เราสอนเด็กที่เก่งอยู่แล้วให้สอบได้ ไม่ได้ช่วยคนไม่รู้ให้รู้ เราคิดว่า professor เป็นเทพหรือเนี่ย เปล่า เขาไม่ใช่เทพ แต่เป็นกระบวนการค่อย ๆ เปลี่ยนทีละพฤติกรรม คล้ายๆ เวลาถ่ายทำ stop motion ถ่ายทำดินน้ำมันค่อยๆ เคลื่อนทีละนิดๆ แต่สุดท้ายกลายเป็นนกบินได้
ผมเลิกเป็นติวเตอร์แล้วมาเน้นเรื่อง “เต็มที่และทั่วถึง” ครูสอนทั่วถึงไหม ทิ้งคนไม่รู้ไว้ข้างหลังหรือเปล่า คนไม่รู้ทำยังไง ผมกระจายความคิดและวิธีการนี้กับเพื่อนครูทุกคน ครูต้องการกระบวนการสอน
เช่น E Learning เพราะเรียนเสริมในเวลาไหนที่ไหนก็ได้ สถานการณ์ไหนก็ได้ ใส่หมวกสีแดงแล้วจะเรียนรู้เรื่องก็ใส่เลย ไม่ต้องใส่ชุดนักเรียน หมอต้องไม่ทิ้งคนไข้ให้ตาย อย่าทิ้งคนว่ายน้ำไม่เป็นให้จมน้ำ
ครูที่ผมศรัทธาคือครูสอนว่ายน้ำ ไม่มีเด็กคนไหนว่ายน้ำไม่เป็น คนเก่งไปเป็นนักกีฬา คนเก่งน้อยสอนคนอื่น คนอ่อนเกาะเบาะตีขาว่ายตามเขาไปแล้วค่อยๆ เรียนจนว่ายได้ทุกคน การสอนว่ายน้ำเป็นการสอนในอุดมคติ ที่ทำได้ก็เพราะนักเรียนน้อยฉะนั้นจึงทั่วถึงและเต็มที่… “
วิทยากรอย่างผมได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้แล้วได้แง่คิด สะกิดใจ จากชีวิตครูอย่างอาจารย์พูลศักดิ์มากมาย หลายประเด็น ... โดยเฉพาะเรื่องการสอน คุณค่า และความหมายของชีวิตครู
ขอบคุณคู่สร้างคู่สม ที่มีเรื่องราวดี ๆ บทเรียนเด่น ๆ มาให้อ่านเป็นประจำ จริง ๆ บทสัมภาษณ์ยังไม่หมดแค่นี้ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ใครสนใจ ไปหามาอ่านต่อนะครับ
ตอนนี้อาจารย์พูลศักดิ์เกษียณอายุราชการแล้ว และมาเป็นที่ปรึกษาให้ “โครงการโทรทัศน์ครู” ของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา หรือThai teachers.tv
....ทุกวันนี้ท่านใช้ชีวิตอย่างสมถะ ขับรถธรรมดา บ้านที่มีความอบอุ่น และยังคงไฟแรงทำงานเพื่อพัฒนาการศึกษาบ้านเราในการเป็นที่ปรึกษาของ ”โทรทัศน์ครุ” เพื่อให้ความฝันที่ว่า “ครูสอนนักเรียนทุกคนอย่างทั่วถึงและเต็มที่ ไม่ทิ้งเด็กไม่รู้ไว้เบื้องหลัง” เป็นจริงให้ได้
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561
“ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวของฉันเอง
รัก.สร้างสรรค์งานตัดกระดาษ.พ่อแม่แยกทางกันตัั้งแต่อายุ8เดือน อยู่กับพ่อปู่ย่า
https://youtu.be/rH2LjDux5oA
********************************
********************************
“ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวของฉันเอง
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1723215907708855&id=1226568864040231&__tn__=%2As%2As-R
(ดูที่2:42)ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวของฉันเอง
I live to live to myself
ฉันจะไม่เป็นคนสมบูรณ์แบบสำหรับใคร
I'm not going to be that perfect for some
ฉันแค่จะใช้ช่วงเวลานี้ และทำให้มันสมบูรณ์แบบ สำหรับตัวฉัน
I'm perfect for myself
********************************
จากข้อความข้างบน เราตกผลึก แต่ยังฐานเดิม ดังนี้
รู้จักสำนึกในบุญคุณ...
รู้จักการดำเนินชีวิตถูกต้อง...
มีทัศนคติถูกต้องเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง...
เป็นคนดีของสังคม...
ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม จงเป็นคนดีมีเมตตา
โปรดจำไว้ว่า การมีจิตใจดี จะเป็นผู้ที่ได้รับการคุ้มครองดูแล
อย่างดีที่สุด จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
(ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
ผู้ที่ประพฤติธรรมตามลำดับของธรรม )...
ฝากรอยเท้าไกลเท่าไหน จิตใจจะกว้างเท่านั้น
เมื่อใจกว้างแล้ว จะมีความสุข หากเดินไปได้ไม่ไกล
ให้หนังสือ(คลิป)ช่วยพาเดินไป...
เมื่อไปยังสถานที่ไกลๆจำไว้ว่า นอกจากจะต้องนำกล้องถ่ายรูปไปแล้ว ก็ต้องนำปากกาและกระดาษไปด้วย วิวทิวทัศน์นั้นเหมือนกัน แต่อารมณ์ที่ดูวิวทิวทัศน์นั้น ไม่สามารถกลับมาซ้ำเหมือนเดิมได้อีก
มิใช่เพราะเดินทางได้มากที่สุด...
ต้องมีพื้นที่เป็นของตนเอง ต่อให้มีแค่5ตร.ม.ก็ตาม
เพราะตอนที่ฉุนโกรธใจร้อนเดินออกมา
ก็ไม่ถึงกลับต้องเดินเร่ร่อนไปบนถนน พบเจอกับคนไม่ดี
ก็จะมีสถานที่ทำให้ใจเย็นลงได้ ให้หัวใจได้พักไว้ในมุมนั้น
(ธรรมจะเกิดในที่เงียบสงัด ไม่ใช่ท่ามกลางฝูงชน
นี่จากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า)...
เมื่อตอนยังเด็กจะต้องมีความรู้ เมื่อโตขึ้นจะต้องมีประสบการณ์
จึงจะมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้า อย่างมีคุณภาพ...
หากฟ้าถล่มทะลายลงมา ก็ไม่ต้องร้องไห้ และไม่ต้องบ่นว่าอะไร
ต่อให้ต้องกินข้าวคลุกซีอิ้วขาว
ก็ต้องปูผ้าปูโต๊ะที่สะอาด และนั่งลงไปอย่างสง่างาม ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย อย่างใส่ใจในคุณภาพ...
รอยยิ้ม ความสง่างาม ความมั่นใจ(อยู่นิ่งๆ)
นั้นเป็นทรัพย์สินทางจิตใจ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
หากมีสิ่งเหล่านี้ จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง...
(ตามคำสอนของหลวงปู่เซียน)
“ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวของฉันเอง
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1723215907708855&id=1226568864040231&__tn__=%2As%2As-R
(ดูที่2:42)ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวของฉันเอง
I live to live to myself
ฉันจะไม่เป็นคนสมบูรณ์แบบสำหรับใคร
I'm not going to be that perfect for some
ฉันแค่จะใช้ช่วงเวลานี้ และทำให้มันสมบูรณ์แบบ สำหรับตัวฉัน
I'm perfect for myself
วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
หน้าที่
***************************************************
หน้าที่ของผมที่เป็นพ่อ สอนไอ้เด็ก4คนนี้ เป็นคนที่ดีในสังคม คิดถูกต้อง แยกแยะถูกผิดได้
โต ซิลลี่ฟู. https://youtu.be/AmFZk3hSjkM
***************************************************
เปตองอายุ3ขวบ สงขลา โรคประจำตัวเส้นประสาทลำไส้พิการแต่กำเนิด
เรา:หน้าที่ของการเกิดเป็นมนุษย์ หน้าที่ของพ่อที่ลาออกจากงานมาเลี้ยงดู
https://youtu.be/P3xYLstH_JI
***************************************************
ทำหน้าที่อย่างคิดบวก สักวันประธานบริษัทอาจปลอมตัวมาฝึกงานในแผนกคุณ
https://youtu.be/UNrT5fVUM40
***************************************************
อยากมีที่ดิน ต้องดูแลไม่ให้รกเบียดเบียนบ้านอื่นผู้อื่น
วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2560
นกอินทรีเป็นนกที่มีอายุยืนมากที่สุดในบรรดาสัตว์ปีกทั้งหมด
มันมีอายุถึง 70 ปี แต่มันมีช่วงเวลาหนึ่ง ช่วงเวลาที่มันอายุ 40 มันจะเกิดปัญหาต่างๆในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปากที่งองุ้ม ขนที่หนักแล้วก็เล็บ ที่เอาไว้ล่าเหยื่อ ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่สามารถที่จะล่าเหยื่อได้อีกแล้ว นกอินทรีมีทางเลือกอยู่ 2 ทางนั่นก็คือ ตายซะ หรือตัดสินใจที่จะมีชีวิตต่อ ซึ่งมันต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด และการเปลี่ยนแปลงถึง 150 วัน ตอนนั้นนกอินทรีต้องบินกลับภูเขาสูงและอยู่ที่รังของมัน มันจะต้องใช้จะงอยปากที่โค้งงอของมันเคาะกับหิน
ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งจะงอยปากของมันหลุด
จากนั้นมันต้องรอให้จะงอยปากของมัน
งอกขึ้นมาใหม่ พอจะงอยปากมันงอกขึ้นมา กรงเล็บของมันที่งอกขึ้นมาใหม่ต่อจากจะงอยปาก
และใช้กงเล็บที่งอกขึ้นมาสมบูรณ์ ค่อยๆ จิก
ถอนขนที่ดกหนาและผลัดขนใหม่ ซึ่งมันต้องทำด้วยความเจ็บปวด หลังจาก 5 เดือน หรือ 150 วัน ผ่านไป ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดความสมบูรณ์ แล้วนกอินททรีจะบินสูงทะยานขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้ง
พร้อมกับร้องเสียงดังก้อง ทะยานฟ้า
คล้ายกับประกาศก้องว่า ข้าได้กำเนิดใหม่แล้ว ชีวิตของคนเราเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ที่เราจะต้องเติบโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เราต้องพบกับความเจ็บปวด เราต้องฝึกฝนต้องอดทน ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกความชำนาญด้านต่างๆ เราจะต้องเจ็บปวดเหมือนนกอินทรี ต้องเจ็บปวดกับความไม่รู้ ต้องเจ็บปวดกับความเหน็ดเหนื่อย... จะต้องอดทนอุตสาหะ ต้องอดทนทำในสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ ซ้ำแล้วซ้ำอีก...
ต้องถอนขนก็คือการปล่อยวางบางสิ่งบางอย่าง
ปล่อยวางความไม่รู้
ปล่อยวางความฉลาด ปล่อยวางสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เรามีในอดีต
เพื่อที่จะเป็นคนใหม่
มันเป็นแง่คิดที่ว่า
หลายครั้งชีวิตของเราต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง
บางครั้งเราต้องลืมอดีตที่ขมขื่น
นิสัยเก่าๆที่เคยชิน และความผิดหวังต่างๆ
ดังนั้นเราจำเป็นต้องปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ
จากนิสัยหรือสภาพแวดล้อมเดิมๆ
เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่อย่างราบรื่นในปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรที่ทำให้เราต้องเจ็บปวด
บางทีมันแค่เป็นบทเรียน ที่เราจะต้องก้าวผ่านมันไป
มันเป็นอุปสรรคที่เราจะต้องก้าวผ่านมันไป
เมื่อเราก้าวผ่านมันไปแล้ว
เราก็สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ อย่างยั่งยืนเติบโต
ถึงแม้บางครั้งเราไม่ตาย แต่เราก็ไม่เติบโต
แต่ถ้าเรา เมื่อไหร่ที่เรากล้าที่จะเผชิญหน้า
เราก็จะเติบโตอย่างสง่างาม เหมือนนกอินทรี
ที่มันผ่านช่วงเวลา 150 วันนั้นไปได้
ทุกๆคนก็ต้องพานพบจุดเปลี่ยนของชีวิต เพื่อที่จะเติบโตขึ้นอีกครั้ง อย่ากลัวที่จะพบกับความเจ็บปวด... อุปสรรค หรือปัญหาที่มันเกิดขึ้นในชีวิต มันจะทำให้เราเติบโต และก็เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และสามารถใช้ชีวิต สง่างามเหมือนนกอินทรี การตลาดออนไลน์ By ออบขวัญ เผยแพร่เมื่อ 11 พ.ค. 2017
มันมีอายุถึง 70 ปี แต่มันมีช่วงเวลาหนึ่ง ช่วงเวลาที่มันอายุ 40 มันจะเกิดปัญหาต่างๆในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปากที่งองุ้ม ขนที่หนักแล้วก็เล็บ ที่เอาไว้ล่าเหยื่อ ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่สามารถที่จะล่าเหยื่อได้อีกแล้ว นกอินทรีมีทางเลือกอยู่ 2 ทางนั่นก็คือ ตายซะ หรือตัดสินใจที่จะมีชีวิตต่อ ซึ่งมันต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด และการเปลี่ยนแปลงถึง 150 วัน ตอนนั้นนกอินทรีต้องบินกลับภูเขาสูงและอยู่ที่รังของมัน มันจะต้องใช้จะงอยปากที่โค้งงอของมันเคาะกับหิน
ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งจะงอยปากของมันหลุด
จากนั้นมันต้องรอให้จะงอยปากของมัน
งอกขึ้นมาใหม่ พอจะงอยปากมันงอกขึ้นมา กรงเล็บของมันที่งอกขึ้นมาใหม่ต่อจากจะงอยปาก
และใช้กงเล็บที่งอกขึ้นมาสมบูรณ์ ค่อยๆ จิก
ถอนขนที่ดกหนาและผลัดขนใหม่ ซึ่งมันต้องทำด้วยความเจ็บปวด หลังจาก 5 เดือน หรือ 150 วัน ผ่านไป ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดความสมบูรณ์ แล้วนกอินททรีจะบินสูงทะยานขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้ง
พร้อมกับร้องเสียงดังก้อง ทะยานฟ้า
คล้ายกับประกาศก้องว่า ข้าได้กำเนิดใหม่แล้ว ชีวิตของคนเราเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ที่เราจะต้องเติบโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เราต้องพบกับความเจ็บปวด เราต้องฝึกฝนต้องอดทน ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกความชำนาญด้านต่างๆ เราจะต้องเจ็บปวดเหมือนนกอินทรี ต้องเจ็บปวดกับความไม่รู้ ต้องเจ็บปวดกับความเหน็ดเหนื่อย... จะต้องอดทนอุตสาหะ ต้องอดทนทำในสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ ซ้ำแล้วซ้ำอีก...
ต้องถอนขนก็คือการปล่อยวางบางสิ่งบางอย่าง
ปล่อยวางความไม่รู้
ปล่อยวางความฉลาด ปล่อยวางสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เรามีในอดีต
เพื่อที่จะเป็นคนใหม่
มันเป็นแง่คิดที่ว่า
หลายครั้งชีวิตของเราต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง
บางครั้งเราต้องลืมอดีตที่ขมขื่น
นิสัยเก่าๆที่เคยชิน และความผิดหวังต่างๆ
ดังนั้นเราจำเป็นต้องปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ
จากนิสัยหรือสภาพแวดล้อมเดิมๆ
เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่อย่างราบรื่นในปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรที่ทำให้เราต้องเจ็บปวด
บางทีมันแค่เป็นบทเรียน ที่เราจะต้องก้าวผ่านมันไป
มันเป็นอุปสรรคที่เราจะต้องก้าวผ่านมันไป
เมื่อเราก้าวผ่านมันไปแล้ว
เราก็สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ อย่างยั่งยืนเติบโต
ถึงแม้บางครั้งเราไม่ตาย แต่เราก็ไม่เติบโต
แต่ถ้าเรา เมื่อไหร่ที่เรากล้าที่จะเผชิญหน้า
เราก็จะเติบโตอย่างสง่างาม เหมือนนกอินทรี
ที่มันผ่านช่วงเวลา 150 วันนั้นไปได้
ทุกๆคนก็ต้องพานพบจุดเปลี่ยนของชีวิต เพื่อที่จะเติบโตขึ้นอีกครั้ง อย่ากลัวที่จะพบกับความเจ็บปวด... อุปสรรค หรือปัญหาที่มันเกิดขึ้นในชีวิต มันจะทำให้เราเติบโต และก็เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และสามารถใช้ชีวิต สง่างามเหมือนนกอินทรี การตลาดออนไลน์ By ออบขวัญ เผยแพร่เมื่อ 11 พ.ค. 2017
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)