วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ทำดี


เรา:แค่ภูมิใจว่าได้ทำดี

***********************

มันเป็นโชคชะตา(=กรรม)ของชายขอทาน ไม่ว่าจะรวบรวมอาหารมากแค่ไหน ก็จะได้แค่8สิ่ง เพราะมีหนูมาขโมย โดยหนูบอกชายขอทานว่ามันเป็นโชคชะตา ที่หนูต้องขโมย
ถ้าอยากรู้คำตอบมากกว่านี้ ต้องไปถามพระพุทธเจ้า
 ระหว่างทางเขารับฝากคำถามจากเศรษฐี พ่อมด เต่า รวมคำถามของเขาเป็น4คำถาม
แต่พระฯให้ถามเพียง3คำถาม ขอทานพิจารณาตัวเขา ไม่ลำบากอะไร ที่จะกลับไปขอทาน แต่เต่าอยู่ในน้ำเป็นร้อยปี พ่อมดขี่ไม้เท้าในอากาศเป็นพันปี ส่วนเด็กสาวก็พูดไม่ได้

คำตอบ
เต่าอยากเป็นมังกร ต้องถอดกระดองออก เต่าถอดทันที แล้วกลายเป็นมังกร ส่วนในกระดองมีทรัพย์สินมากมาย เต่ายกให้ขอทาน

พ่อมดอยากขึ้นสวรรค์ ต้องวางไม้เท้าของวิเศษของเขาลง พ่อมดวางไม้เท้า แล้วขึ้นสวรรค์ 

ลูกสาวเศรษฐีจะพูดได้ เมื่อพบเนื้อคู่ของเธอ เมื่อขอทานพูดจบ ลูกสาวเศรษฐีก็ถามขอทานว่า เขาเป็นคนเดียวกับคนที่มาเมื่ออาทิตย์ก่อนใช่ไหม
ขอทานคือคู่แท้ของเธอ ทั้งคู่แต่งงานกัน

ความดีทุกอย่างที่ได้ทำไว้ มันจะย้อนกลับมาหาเรา

(เราดูแล้วนึกถึง กรรม ทาน ปล่อยวาง ทิฐิมานะ เนื้อคู่ต้องศีลเสมอกัน ที่หลวงปู่สอนว่าชาติหน้าเรากับตา จะไม่ได้เจอกัน)

พระพุทธเจ้าและขอทาน
***************

หนุ่ม.สักวันต้องได้ดี
https://youtu.be/xtoSFieMwl0




วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

อุบาสิกาปิยวรรณ วีรวรรณ


  
  • นาม
    พระครูสังฆรักษ์ พุทธิพงศ์ อภิชาโต มีชื่อเดิมว่า นาย “พุทธิพงศ์” นามสกุล “ว่องพานิช”
  • วันเกิด
    เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒ เดือน มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๑๑ ตรงกับวันพฤหัสบดี ราศีพฤษภ ณ โรงพยาบาลหัวเฉียว ถนนบำรุงเมือง แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร โยมบิดาชื่อ “นายไพโรจน์ ว่องพานิช” โยมมารดาชื่อ “นางปิยวรรณ ปฐมรัตน์(วีรวรรณ)” ท่านเป็นลูกคนกลางโดยมีพี่ชายและน้องสาวคือ นายเกียรติศักดิ์ และ นางสาวโศรยา ว่องพานิช
  • ประวัติ
    ท่านได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กที่จังหวัดนครปฐม ได้รับการศึกษาภายในโรงเรียนวัดมาโดยตลอด จนถึงปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ ได้เข้ามาศึกษาต่อภายในกรุงเทพที่โรงเรียนปทุมคงคา ซึ่งปีนั้นเป็นปีแรกที่ได้เริ่มมีการก่อสร้างวัดป่าภูก้อน ดังนั้นในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ของทุกสัปดาห์ซึ่งไม่มีเรียนหนังสือ ท่านและคุณแม่ปิยวรรณต้องเดินทางจากกรุงเทพมาที่พื้นที่ก่อสร้างวัดป่าภูก้อนเพื่อส่งของ วัสดุก่อสร้าง รวมถึงเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ และต้องรีบกลับเข้ากรุงเทพก่อนเช้าวันจันทร์เพื่อให้ทันเรียนหนังสือ เป็นเช่นนี้ตลอดช่วงการก่อสร้างวัด
  • ช่วงต้นพุทธศักราช ๒๕๓๕ ท่านก็ได้มีโอกาสตามคุณแม่ปิยวรรณ ไปกราบนมัสการพระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ หรือหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นพระภิกษุฝ่ายวิปัสสนาธุระสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และเมื่อพบกับหลวงปู่เทสก์แล้วก็ได้เกิดธรรมนิมิตเกิดความคิดต้องการที่จะบวชอย่างแรงกล้า
  • ในวันที่ ๒๗ เดือน มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๕ อายุ ๒๔ ปี ท่านได้อุปสมบทครั้งแรก ณ วัดหินหมากเป้ง ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ได้รับฉายา "อนุตฺตโร"
  • ได้จำพรรษาแรกที่วัดหินหมากเป้ง ในพรรษาที่สองและสามก็ได้ตามไปอุปัฏฐากหลวงปู่เทสก์ที่ถ้ำขามจวบจนถึงวาระสุดท้ายที่หลวงปู่เทสก์ได้ละสังขาร จากนั้นได้ไปจำพรรษาทางใต้บ้าง กรุงเทพบ้าง จนถึงวัดบรมนิวาสและได้ลาสิกขาไปเมื่อได้พรรษาที่ ๘ ในเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
  • ได้อุปสมบทในบวรพุทธศาสนาอีกครั้ง ในวันที่ ๕ เดือน กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ ณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหนคร โดยมี พระเทพญาณวิศิษฏ์(พระธรรมบัณฑิต อภิพล อภิพโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูปลัดสุวัฒนพรหมจริยคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูปลัดบุญยืน ปุญญพโล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และได้รับฉายาคือ “อภิชาโต”
  •  พระพุทธิพงศ์ อภิชาโต ดำรงตำแหน่ง “พระครูสังฆรักษ์” ณ วันที่ ๑๓ เดือน มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓
  • สอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักเรียนวัดศรีสุมังคล์ จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ ๓๐ เดือน ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗
  • ณ วันที่ ๑ เดือน มีนาคม 2561พระครูสังฆรักษ์ พุทธิพงศ์ อภิชาโต ดำรงตำแหน่ง รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าภูก้อน จวบจนปัจจุบัน
  • https://watpaphukon.org/dean/




ใครเลยจะคิดว่าวันหนึ่ง คุณปิยวรรณ วีรวรรณ “กลับหักมุมชีวิตอย่างเด็ดเดี่ยว” กล้าสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างวัดป่าภูก้อนบนเนื้อที่กว่า 3,000 ไร่ 

คุณปิยวรรณ  วีรวรรณ เล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เธอฉุกคิดเรื่องชีวิตขึ้นมาในวันหนึ่งว่า “ครั้งหนึ่งแม่ได้เห็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่ตอนนั้นแก่มากแล้ว เรี่ยวแรงในการเดินแทบจะไม่มี เดินอยู่คนเดียว ตอนนั้นแม่เกิดความสลดสังเวชใจ และเกิดความกลัวขึ้นมา ว่า...แล้วฉันจะอยู่อย่างไร เกิดความกลัวเจ็บ กลัวตายขึ้นมา” 

“แม่เป็นคนที่ไม่กลัวใคร พูดจากโผงผาง ตรงไปตรงมา เวลาทำอะไรผิดพลาดก็ไม่เคยมีใครกล้าบอกกล่าวตักเตือน อาจเพราะเกรงใจ  จนวันหนึ่งมีเพื่อนมาชวนทำบุญ แต่ด้วยความที่แม่เป็นชาวพุทธแต่ในนาม ไม่เคยเชื่อถือว่าพระพุทธเจ้ามีจริง! และไม่เชื่อเรื่องการทำบุญ แม่จึงกล่าวท้าว่า “ถ้าพระพุทธเจ้ามีจริง คืนนี้ขอให้ท่านมาให้เราเห็น แล้วเราจะยอมเป็นขี้ข้าม้าคอก จะนับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียว แต่ถ้าไม่มาให้เห็นในคืนนี้ เราก็จะไม่นับถือท่าน และท่านก็อย่าได้โกรธเรา”

          นับจากคืนนั้นเป็นต้นมา “คุณปิยวรรณ” ก็หันมารับใช้พระพุทธศาสนามาตลอด จนถึงวันนี้เป็นเวลาร่วม 30 ปีแล้วที่เธอได้ทำนุบำรุงพุทธศาสนาและศาสนสถานตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ กระทั่งครั้งหนึ่งเธอได้ออกธุดงค์ไปทางภาคอีสาน และบังเอิญได้อ่านหนังสือปฏิปทาของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ทำให้เธอเกิดความซาบซึ้งและเห็นคุณค่าของป่าไม้ว่า เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ป่าเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพระอริยสงฆ์ เมื่อได้รู้คุณค่าของป่าแล้ว ก็เกิดความรักและความหวงแหน ถึงขั้นปฎิญาณว่า จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาป่าไว้ โดยการเสียสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ การเสียสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต และยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาธรรม ความมุ่งหมายของตนให้ได้” 
                
ในครั้งนั้นเองขณะไปธุดงค์วัดในแถบภาคอีสาน ได้มีพระรูปหนึ่งเล่าให้เธอฟังว่า “ป่าที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งบนภูก้อนกำลังถูกสัมปทานตัดไม้” คุณแม่เกิดความเสียดายอย่างยิ่ง จึงรีบไปดูป่าแห่งนี้ ขณะเดินอยู่ในป่าเธอได้ยินเสียงกระซิบว่า “ทศพิธราชธรรม กรรมพินิจ จิตขจร ภมรมาศ อาสนะเทวา” ถึง 3 ครั้ง... “แม่รู้สึกว่ารุกขเทวดาอยากให้เรารักษาป่านี้ไว้ จึงได้ตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางรักษาป่านี้ไว้ให้ได้ สุดท้ายเลยคิดว่าควรสร้างวัดขึ้นในป่านี้ เพื่อที่รักษาป่าไม้ เพราะวัดซึ่งเป็นพุทธสถานที่จะสามารถรักษาป่าให้อยู่ได้ตราบนานเท่านาน”  ...และนี่คือจุดกำเนิดของวัดป่าภูก้อน
 “ณ ตอนนั้น แม่ยื่นเอกสารเดินเรื่องกับกรมป่าไม้ เพื่อไม่ให้มีการสัมปทานป่าไม้บนภูก้อนแม้จะมีการตีตราไว้แล้ว ซึ่งต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะต่อสู้ให้ได้ป่าผืนนี้กลับคืนมาจนกระทั่งได้รับอนุญาตให้สร้างวัดขึ้นได้บนพื้นที่ป่าแห่งนี้ จาก 15 ไร่ ไปสู่การรับมอบหมายจากกรมป่าไม้ให้ช่วยดูแลพื้นที่ป่าอีก 1,000 ไร่ และเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ไร่” จนถึงปัจจุบันวัดป่าภูก้อนได้ขนานนามว่า ‘พุทธอุทยานมหารุกขปาริชาติภูก้อน’ ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูงและป่าน้ำโสม จังหวัดอุดราธานี

            คุณปิยวรรณ วีรวรรณ  เล่าว่า “ในเมืองไทย ยังไม่ค่อยได้พบเห็นพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่แกะสลักด้วยหินอ่อนขาวบริสุทธิ์ทั้งองค์มาก่อน จึงคิดสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทำทั้งทีก็ต้องทำให้งามที่สุด และอยู่คงกระพันชั่วลูกชั่วหลาน ปรากฏว่าได้พบกับช่างปั้น อ.นริศ รัตนวิมล ผู้เป็นยอดศิลปินประติมากรหินเป็นผู้ออกแบบและแกะสลักองค์พระพุทธรูปรวมทั้งเหล่าศิลปินที่มีฝีมือมากมายได้มาร่วมกันสร้าง”

 จากเดินทางรอบโลกเพื่อหาหินอ่อนที่ขาวบริสุทธิ์และมีความทนทานที่สุด คุณปิยวรรณ วีรวรรณ ก็ได้พบแหล่งหินอ่อนที่งามที่สุดของโลกอยู่ที่เมืองคาราร่า ประเทศอิตาลี ...โดยหินอ่อนมีน้ำหนักเฉลี่ยหนักก้อนละ 15-30 ตันและ 55 ตัน ถูกลำเลียงข้ามมหาสมุทรมาขึ้นฝั่งที่เมืองไทย  และลำเลียงขึ้นสู่ยอดเขาภูก้อนเพื่อแกะสลักเป็นองค์พระพุทธไสยาสน์หินอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย โดยใช้เวลารวม 2 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์ในปลายปี 2551 ได้รับพระมหากุรณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 พระราชทานนามว่า “พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี” แปลว่า พระพุทธรูปปางไสยาสน์แห่งพระมหามุนีผู้ทรงเป็นบรมครู ที่ทรงเป็นที่พึ่งของชาวโลก 
  

ทั้งหมดนี้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา ในปี 2554 

 วัดป่าภูก้อน อ.นายูง จ.อุดรธานี www.watpaphukon.org







http://entertain.enjoyjam.net/forum/index.php?topic=19562.0

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ภัยสังคมที่ห้างโคราช8กพ.63




เหตุจากการไม่จ่ายเงินทำธุรกิจจัดสรรบ้าน:ทนายเดชา
https://youtu.be/P6RJebxJVTA
เอกสารกู้เงิน
https://youtu.be/8QGy_AEoJxQ


หลังจากโดรนของตำรวจถูกคนร้ายยิงตกหลายลำ จึงขอให้โดรนของช่อง7 เข้ามาช่วยค้นหาพิกัดคนร้าย ก่อนเข้าวิวามัญฆาตกรรม
https://youtu.be/7B0RKdQS1T8





บันทึก 8 ก.พ. #จากคนกลุ่มแรกที่เจ้าหน้าที่เข้าถึงตัวและครั้งแรกที่ปะทะกับผู้ก่อเหตุ

- เมื่อวาน เราไปเทอร์มินอลตอนบ่ายโมงกว่าๆ กะว่าสัก 6 โมงเย็นค่อยกลับบ้าน ซึ่งทางกลับโดยปกติคือชั้น G ประตูทางออกที่ 1 วันนั้นคนเยอะมาก เพราะเป็นวันเสาร์และทางห้างจัดงานมาฆบูชา พ่อแม่ลูกพากันมากินเที่ยวช้อปแบบสนุกสนาน
- จนกระทั่งตอน 6 โมงเย็น ระหว่างกำลังเดินไปประตูทางออก พร้อมชานมไข่มุกฟุกุที่ซื้อจากชั้น LG และผ้าเช็ดตัวนาโนที่ซื้อจากร้านของ 3 พ่อแม่ลูก นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้ซื้อของกับเขาและได้คุยกับเขา (ใช่ค่ะ... ทั้ง 3 คนขายเครื่องนุ่งห่มอยู่ที่ชั้น LG ถูกผู้ก่อเหตุเจอ และถูกยิงตายทั้งหมด น้องกำลังอยู่ในวัยน่ารักเลย)
- ระหว่างถึงทางออก อยู่ๆ คนที่อยู่ด้านหน้าทางออก ก็พากันวิ่งเข้ามา เราสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ถึงกับตกใจ คิดว่าอุบัติเหตุธรรมดา แต่มีพี่ รปภ.วิ่งมาบอก “น้อง !! ไปหาที่หลบ มีคนยิงกัน” (พี่ รปภ. คนนั้น ต่อมาทราบชื่อว่าเป็นนายอำนาจ บุญเกื้อ เป็น 1 ใน ผู้เสียชีวิตเช่นกัน พี่เขาทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้ายของชีวิตจริงๆ หนูจะขยันตื่นเช้ามาทำบุญให้พี่เยอะๆ ตอนนั้น ถ้าพี่ไม่มาบอก คงเดินออกไปแล้วโดนผู้ก่อเหตุยิงทิ้งไปแล้ว)
- หลังจากได้รับแจ้งว่าออกไปไม่ได้ และคนก็เริ่มวิ่งเข้ามาในห้างเยอะขึ้น เราก็วิ่งตาม เหมือนพวกมากลากไป ระหว่างที่วิ่ง มีเสียงตะโกนว่า "ปิดประตูๆๆ" เราเห็นประตูเหล็กของร้านแต่ละร้านเริ่มเลื่อนลง
- ตอนนั้น พยายามตั้งสติและคิดว่าจะเข้าไปหลบในห้องน้ำหญิง หรือหลบอยู่ในร้านที่มีประตูเหล็ก จังหวะนั้นมีพนักงานร้านกวักมือเรียกให้รีบเข้ามา “น้อง มานี่” เราเลยได้เข้าไปหลบที่ร้านเสื้อผ้ายี่ห้อหนึ่ง (ใกล้ๆ Eveandboy ซึ่งตอนนั้นคนกรูเข้าไปหลบใน Eveandboy เยอะมากก)
- พอเข้ามาหลบในร้านเสื้อผ้าพบว่า มีคนหลบอยู่ 3 คน พนักงาน 2 คน และเรา 1 คน (เห็นจำนวนแล้วรู้สึกใจแป่วมาก แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียว)
- พวกเราหลบอยู่ภายในกันสักพัก หลังประตูเหล็ก รอจนกว่าสถานการณ์จะสงบ (ตอนนั้นไม่คิดว่าสถานการณ์ที่ตัวเองเจอจะเลวร้ายขนาดนี้)
- จนกระทั่ง น้องพนักงานเล่นโซเชียลแล้วเอาข่าวมาให้ดู (ชิบหายมาก มันไม่ใช่เรื่องทะเลาะแล้วยิงกัน แต่ผู้ก่อเหตุตั้งใจจะมาฆ่าทุกคนที่เจอในห้าง ตอนนั้นรู้เลยว่า ชีวิตเราไม่ปลอดภัยแล้ว จากที่แพลนไว้ว่าจะตายตอนอายุ 60 - 70 ปีท่ามกลางลูกๆหลานๆ ตอนนี้ต้องมาแพลนว่าจะทำยังไงถึงจะมีรอดชีวิตในวันนี้ไปให้ได้)
- เวลา 18.50 น. ข่าวเริ่มออก และแม่โทรมา แม่เสียงสั่น กลัว พูดไปร้องไห้ไป เราได้ยินแล้วน้ำตาคลอเลย "เฟิร์น หนูอยู่ไหนลูก" เราบอกว่า "หนูปลอดภัย ไม่ต้องห่วง อยู่กับพี่ๆอีก 2 คน แม่ใจเย็นๆนะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็มาช่วยแล้ว" เราพูดไปโดยที่ไม่ทราบเลยว่า จะมีคนมาช่วยมั้ย และจะได้กลับไปในสภาพไหน คือ ตอนนั้นเห็นข่าวก็กลัวมาก ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง เคยดูแต่ในหนัง พยายามหาทางออกและติดต่อคนข้างนอกเรื่อยๆ
- 19.30 น. เราพยายามเช็คข่าวเรื่อยๆ ว่าเจ้าหน้าที่เริ่มเข้ามาคุมสถานการณ์หรือยัง เริ่มมีเพื่อนๆ อาจารย์ น้องๆ ทัก Inbox เข้ามา แต่ไม่สามารถตอบได้ เพราะต้องเซฟแบตโทรศัพท์เอาไว้
- พี่ๆที่อยู่กับเราเริ่มโทรหา 191 (สายไม่ว่าง) เราก็พยายามดูโซเชียลว่ามีเบอร์ติดต่อช่องทางไหนอีกบ้าง จนมาเจอโพสต์ของจ่า เราเลยโพสต์ขอความช่วยเหลือทางคอมเม้นท์ หลังจากนั้นหนักกว่าเดิม นักข่าวช่อง.... Inbox จะโทรมาขอสัมภาษณ์ คนในโซเชียลเริ่มติดต่อเข้ามาให้ความช่วยเหลือว่าควรทำตัวยังไง เราบอกว่าเราอยู่หลังประตูเหล็ก พี่ใน Inbox คนหนึ่งแนะนำว่าให้หมอบและถอยออกจากประตูเหล็กให้มากที่สุดเดี๋ยวนี้ เพราะมันเสี่ยงสูงที่ผู้ก่อเหตุจะยิงทะลุเข้ามา และให้ปิดไฟ หรี่แสงไฟทางโทรศัพท์ให้มืดที่สุด อยู่ให้เงียบที่สุด อย่าเคลื่อนย้ายไปไหน เพราะอาจไปจ๊ะเอ๋กับผู้ก่อเหตุได้
- หลังจากได้รับคำแนะนำจากโซเชียล เรากับพี่ๆ เริ่มเคลื่อนย้ายตัวเอง เข้าไปด้านในโกดังร้าน แต่ในโกดังแคบและเล็กมาก ยิ่งพอรู้สึกกลัว ตกใจ มันหายใจแรงขึ้น ถี่ขึ้น นั่งแย่งอากาศกันอยู่ 3 คน เหมือนอากาศเริ่มถ่ายเทไม่สะดวก ตอนนั้นเริ่มคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ยังไงก็ต้องหาที่ซ่อนที่อื่นๆ (รู้สึกโชคดีที่เลือกไม่เคลื่อนย้ายตัวเองออกไป)
- 19.45 เบอร์แม่โทรมาอีกครั้ง แต่พ่อเป็นคนพูด เราเลยถามว่า “แม่เป็นไงบ้าง หนูไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องห่วง” (เพราะแม่เป็นคนตกใจง่ายมาก อะไรนิดอะไรหน่อย นางเป็นลมไปเลย) พ่อบอกตอบกลับมาว่า “แม่เป็นลมไปแล้ว ร้องไห้จนเป็นลมไปเลย” (เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ) เลยบอกพ่อว่า “ดูแลแม่ดีๆนะ เดี๋ยวลูกก็กลับแล้ว” ทั้งที่ใจตัวเองคือกลัวมาก แต่ไม่อยากให้คนที่บ้านเป็นห่วง เพราะเหตุการณ์นี้มันแย่มากจริงๆ
- เราติดต่อเจ้าหน้าที่ตามเบอร์ที่จ่าโพสต์ เจ้าหน้าที่ให้ส่งเบอร์โทร ที่อยู่ และคุยผ่านทาง Inbox เพื่อป้องกันผู้ก่อเหตุได้ยินเสียง สถานการณ์ตอนนั้นคือ ทั้งห้างเงียบมากกกกก เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น จะขยับตัวหรือทำอะไร ต้องเบาให้มากที่สุด แถมมีเสียงปืนดังเป็นระยะๆ ประมาณ 4-5 นัด
- ระหว่างรอเจ้าหน้าที่มารับตัวออกไป เป็นช่วงที่ทรมานและลุ้นระทึกที่สุด ในข่าวออกว่าผู้ก่อเหตุอยู่ชั้น 4 แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย... เขาเดินตามหาคนซ่อนตัวทุกๆชั้น ตั้งแต่ชั้นใต้ดินจนถึงชั้น 4 แล้วก็เดินวนกลับมาใหม่ ทุกครั้งที่เขาเดินจะมีเสียงฝีเท้าหนักๆ ตลอด พร้อมกับเสียงดนตรีในโทรศัพท์ เดินไปเปิดเพลงไป แต่มันช่วยให้เราทราบว่าตอนนี้เขาเดินอยู่ตรงไหน อยู่ใกล้หรืออยู่ไกล
- ผู้ก่อเหตุเดินผ่านร้านที่เราซ่อนตัวอยู่ 2 – 3 ครั้ง เราพยายามเงียบให้มากที่สุด ภาวนาอย่าให้เขาหยุดตรงนี้  2 ครั้งแรกเขาเดินผ่านไปเหมือนหาคนซ๋อนตัว แต่... ในครั้งที่ 3 พอเดินผ่านไปสักพัก ได้ยินเสียงตะโกนว่า “นั่ง !!!!” แล้วตามด้วยเสียงปืน ปังๆๆ ประมาณ 3-4นัด ตอนนั้นภาวนาว่า เสียงนั้นอย่าให้เป็นเสียงยิงคน สุดท้ายก็ทราบว่า เสียงนั้น ผู้ก่อเหตุเจอคนซ่อนตัวอยู่ เขาสั่งให้ออกมา แล้วยิงทิ้งตรงนั้นเลย 2 ศพในชั้น G
- เราซ่อนตัวเรื่อยๆ รอเจ้าหน้ามารับ คิดอะไรหลายๆอย่าง นั่งดูโซเชียลก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ นั่งพิมพ์เอกสารบางอย่างที่ระบุธุรกรรมทางการเงิน หากเป็นอะไรไป พ่อกับแม่จะได้ทราบและเอาไว้ใช้ได้ ตอนนั้นสิ้นหวังมาก เพราะผู้ก่อเหตุเริ่มยิงประตูเหล็ก หาคนที่ซ่อนตัว กลัวมากว่าจะมาถึงประตูเรา
- เพื่อน และอาจารย์ก้อย พยายามติดต่อไม่ให้ขาดและแนะนำให้มีสติเอาไว้ แบตก็ใกล้จะหมด ผู้ก่อเหตุก็คึกมาก เดินขึ้นลงตลอด ไม่มีหยุด ไม่มีใครกล้าออกไปจากที่ซ่อนของตัวเองเลย เป็นเวลาที่ยาวนานมาก  
- 21.00 น. เจ้าหน้าที่ยังไม่มารับ ห้องข้างในเริ่มร้อน เหมือนหายใจไม่ออก แต่ก็ออกไปไม่ได้ คิดในใจว่าจะตายเพราะกระสุน หรือ จะตายเพราะอากาศ พี่พนักงานเริ่มตัวสั่นและน้ำตาคลอ คือ ตอนนั้นแต่ละคนเริ่มนั่งไม่ติดแล้วล่ะ เพราะตามจากโซเชียลคือ สถานการณ์เลวร้ายมากกก จับมือและมองหน้ากัน ช่วยกันปลอบ เพราะใช้เสียงไม่ได้
- เจ้าหน้าที่ยังที่ไม่มา เสียงปืนภายในห้างยังดังเป็นระยะ ผู้ก่อเหตุเริ่มทราบว่า มีหลายคนที่หลบอยู่หลังประตูเหล็ก เขาเริ่มยิงใส่ประตูเหล็กเรื่อยๆ เป็นระยะๆ และตะโกนว่า “มีใครอยู่มั้ย”  โดยเฉพาะในชั้น LG ได้ยินถี่มาก สุดท้ายทราบว่า เขายิงประตูเหล็ก เพื่อลากคนด้านในออกมายิง ชั้น LG กับ ชั้น G มีคนเสียชีวิตเยอะมาก  
- 21.10 เจ้าหน้าที่ติดต่อเข้ามา จะเข้ามารับตัว เราส่งพิกัดร้านไปให้ในใจคิดว่า รอดแล้วๆๆ หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ได้ยินเสียงประตูเหล็กล็อกอื่นๆ เริ่มเลื่อนขึ้น เรากับพี่ๆมองหน้ากันว่าเอาไงดี จะออกไปดูดีมั้ย แต่อีกใจคิดว่าถ้าชะโงกหน้าไป แล้วจ๊ะเอ๋กับผู้ก่อเหตุคือ ไม่รอดแน่ๆ
- เจ้าหน้าที่ติดต่อเข้ามาอีกครั้ง สั่งว่า อยู่หน้าประตูเหล็กแล้ว รีบออกมาด่วน
- เรากับพี่ชะโงกหน้าออกไป สรุปเป็นเจ้าหน้าที่จริงๆ พร้อมกับผู้ประสบเหตุอีก 4 คน เจ้าหน้าที่แต่ละคนอาวุธครบมือมากก เขาให้พวกเราอยู่ตรงกลาง ส่วนเจ้าหน้าที่จะล้อมเอาไว้ ก่อนเดินไป เขาสั่งให้เราปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด มันยังดังก้องในหูจนถึงตอนนี้ “หมอบ” “วิ่ง” และประโยคสุดท้าย “ถ้าเกิดอะไร ห้ามหยุด ห้ามนิ่ง วิ่งอย่างเดียว ถ้าเห็นใครโดนยิง ไม่ต้องช่วย เอาตัวเองให้รอดก่อน” เจ้าหน้าที่สีหน้าเคร่งเครียดมาก เหมือนรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แล้วก็นั่นแหละ...
- เจ้าหน้าที่พูดอะไรสักอย่าง เราไม่ได้ยิน และทันทีที่เริ่มอพยพ ทุกอย่างก็ชัตดาวน์ ไฟดับ พรึ่บ! เจ้าหน้าที่ตะโกนว่า วิ่งงงง
- เสียงปืนจากด้านบน ไล่หลังพวกเรามาเลย เจ้าหน้าที่ก็ตะโกน วิ่งๆๆๆ หมอบๆๆๆ วิ่งไปแบบมืดๆ มีเพียงแสงไฟจากอุปกรณ์ของเจ้าหน้าที่ช่วยนำทาง (อินี่ก็วิ่งสุดชีวิต ตอนนั้นกลัวตายมาก วิ่งไป กรี๊ดไป) ผู้ก่อเหตุสาดกระสุนลงมาแบบไม่หยั่งเลย  
- พวกเราวิ่งไปในความมืดภายในห้างเรื่อยๆ จนออกมาจากประตูด้านหลัง ยังมีเสียงปืนดังภายในห้างอยู่ มีเจ้าหน้าที่คอยรับอยู่ด้านนอก ตรวจสอบความเรียบร้อยว่ากลับมาได้ครบมั้ย มีใครตายกลางทางหรือเปล่า มีใครได้รับบาดเจ็บมั้ย สรุป ชุดแรกที่เข้าไปรับ รอดกลับมาทุกคน แต่ยังไม่จบ... ต้องวิ่งต่อจากประตูด้านหลังอ้อมออกมาจนถึงหน้า BigC สารภาพว่าหอบแดกมาก ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ หยุดวิ่งไปแล้ว แต่นี่แบบยังไงก็ได้ เราต้องรอด เราต้องได้กลับบ้าน
- พอวิ่งมาขึ้นรถที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้รอรับ เขาก็ขับพาเราไปปั๊มน้ำมัน ตอนที่ขับออกมาเจ้าหน้าที่ช่วยมาได้อีก 1 ชุด แต่ชุดนั้นผู้ก่อเหตุต้องการหนีออกมาด้วย เลยกราดยิงออกมาด้านหน้า เสียงดังก้องบริเวณนั้นเลย คือเราอยู่บนรถ เจ้าหน้าที่ตะโกนให้ “หมอบๆๆๆ”
- จนหลุดพ้นออกมาจากตรงนั้นได้ เขาก็สอบถามรายละเอียดหลายๆอย่างทั้งคนซ่อน ผู้ก่อเหตุ แล้วปล่อยตัวเรากลับ มีพี่แกร๊ป พี่วินมารอรับกลับบ้านฟรีด้วย
- คืนนั้นทั้งคืน รถพยาบาล รถตำรวจ เสียงกระสุนดังอยู่เป็นระยะๆ มีทั้งคนเจ็บ และคนตาย
- เรากลับมาบ้าน แม่มายืนหน้าประตู แม่วิ่งเข้ามากอด ร้องไห้เลย
- เหตุการณ์เมื่อวาน มันเป็นบทเรียนราคาแพงของเรา ของหลายๆคน และของทุกภาคส่วนจริงๆ สิ่งที่ดูและเห็นว่าสนุกภายในหนัง สถานการณ์จริงๆมันไม่ใช่เลย 3 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ซ่อนตัวอยู่คือ มันนานมากก เหมือน 3 วัน ลุ้นทุกนาทีว่า ผู้ก่อเหตุจะยิงเข้ามาเมื่อไร เขาจะเจอเรามั้ย เราจะรอดมั้ย มันน่ากลัวมากก โดยเฉพาะตอนเขาเดินผ่าน แทบกลั้นหายใจ
- เราทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า เราเป็นชุดแรกที่เขาเข้าไปช่วย และเป็นช่วงแรกของเหตุการณ์นี้ที่เริ่มปะทะกับผู้ก่อเหตุ และผู้ก่อเหตุเริ่มรู้ตัวแล้วว่า เจ้าหน้าที่แอบเข้ามาเพื่อนำคนออกไป
- ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เสี่ยงชีวิตมาช่วยเรา ขอบคุณพี่อำนาจที่ช่วยเราแบบไม่คิดชีวิต หลับให้สบายนะคะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2871358506258441&id=100001529586415


วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2562

A Real Working Mom เว็บข้อคิดชีวิต




มีเงื่อนไขให้น้อย กับการใช้ชีวิตของตัวเอง...
เพิ่มวัตถุในโลก มาปกป้องห่อหุ้มตัวเรา ให้เทอะทะอุ้ยอ้าย
เมื่อเทียกับความสุขที่เป็นผลสำเร็จ จากการปรับตัว และปล่อยเลิก
ฝึกฝนตนเองให้อยู่ง่ายกินง่าย ไม่สร้างภาระ...



https://m.facebook.com/photo.php?fbid=10157046999806359&id=179962701358&set=a.182941841358&source=54&ref=page_internal




********************************
ฟังอย่างสงบ

ท่าทีเดียวที่เราควรจะมีให้ลูกคือ ฟังอย่างสงบ



***************









https://m.facebook.com/ARealWorkingMom/photos/a.182941841358/10157086730001359/?type=3&source=54&ref=page_internal

***************

ต่อให้เอาข้อมูลมาเรียงกองกัน ยาวเป็น10กม.
ก็ไม่ได้ช่วยให้คนพ้นทุกข์
ถ้าข้อมูลความรู้เพียงอย่างเดียว มันช่วยได้
คนเป็นหมอ คนเป็นครู หรือคนได้รับปริญญาบัตรเกียรตินิยมหลายๆใบ
คงจะไม่เป็นทุกข์เลย ตลอดไป...
อยากให้ลูกได้อย่างสมดุลในโลกนี้...
บางครั้งต้องเปิดโอกาส ให้เค้าได้ใช้หัวใจนำทาง 
ให้เค้าได้เห็นตัวอยา่งดีๆ...
โอกาสในชีวิตที่ได้เป็นผู้ให้ สร้างความสุขใจ
ในแบบที่ไม่ต้องมีอะไรอธิบาย...
ในเวลาที่เราเป็นทุกข์ บางครั้งเราไม่ได้ต้องการคำแนะนำ...
แค่ต้องการเงียบๆ...
สร้างพลังให้เราไปต่อ กับปัญหาที่หลือได้ด้วยตัวเอง

*****************


มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้แนะนำ การสร้างนิสัยแห่งความสุข 20 ประการ ไว้เมื่อปี 2016  ข้อแรกคือ

1. Be Grateful 
..สำนึกบุญคุณ คนที่ดีต่อเรา

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10157187317356359&id=179962701358

คำสอนหลวงปู่ สอนทั้งวิธีทำและ เงื่อนไข
“คนที่มีบุญคุณต้องทดแทน 
แม้กินข้าวบ้านเค้ามื้อเดียว ก็ต้องทดแทนบุญคุณ 
มาทำบุญนี่แหละ เพื่อทดแทนบุญคุณ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ผู้ที่มีบุญคุณ
 เตี้ยจะทำตามหลวงปู่สั่ง บุญจบเลย ต้องคิดเองว่าจะทำอะไร 
ใจอยู่กับงานบุญที่ทำ“
ศ.25พ.ค61


**********************


เมื่อเราเริ่มแก่ตัวลง...ที่สุดของชีวิตแล้ว...เราได้กลายเป็นคนแบบไหน...
ตามรูปบนสิ่งที่เด็กๆได้รับการบ่มเพาะในวัย0-7ปี
จะเป็นภาพสะท้อน ชีวิตของเขาในวัย35-42ปี
และหากได้เห็นเรื่องราวของเด็กคนนั้นในช่วง7-14ปี
เราก็พอทำนายชีวิตวัยทำงานช่วง28-35ปีได้
ในทางกลับก็เช่นกัน หากเราพบผู้ใหญ่ที่มีปัญหากับตนเอง ในวัย42
ก็ให้หาทางช่วย โดยมองย้อนกลับไปในช่วงปฐมวัย
เรามักได้ยินวลี“สงสัยตอนเด็กพ่อแม่ไม่อุ้ม“
ผู้ใหญ่บางคนที่มีช่วงเด็กที่โหดร้าย ได้รับการเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย หรือถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ...
อารมณ์เหวี่ยงๆที่แม้เจ้าตัวจะสำนึกได้ ก็ไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้
ทุกครั้งไป...
https://m.facebook.com/photo.php?fbid=10157195806576359&id=179962701358&set=a.182941841358&source=48

********************

ก่อนจะพูดอะไร
  1. เป็นเรื่องจริงใช่ไหม
  2. สร้างประโยชน์ไหม
  3. เป็นไปในทางสร้างแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ไหม
  4. จำเป็นไหม
  5. มีความดีงามไหม
https://m.facebook.com/photo.php?fbid=10157237234196359&id=179962701358&set=a.182941841358&source=48
หลวงปู่“พูดโกหก ฉ้อฉล ไม่มีสัจจะ ไปไหนไม่ได้ อยู่ที่วาจานี่แหละ“
จ.17ก.ย61

******************


คะแนนไม่ได้วัดความฉลาด
อายุก็เช่นกัน ไม่สัมพันธ์กับวุฒิภาวะเสมอไป
https://m.facebook.com/photo.php?fbid=10157258469071359&id=179962701358&set=a.182941841358&source=48

*********************

ให้ความใส่ใจ เพลิดเพลินกับเสน่ห์แห่งปัจจุบัน
มีความสุขกับวันนี้ เพราะมันจะหมดไป...
เร็วกว่าที่เราจะรู้ตัว
ขอให้มีวันสุขกับครอบครัวทุกวัน


เมื่อเธอสามารถจะมองหาความตลก ในสถานการณ์ที่วุ่นวาย เมื่อนั้นเธอจะชนะ
https://m.facebook.com/photo.php?fbid=10157219272256359&id=179962701358&set=a.182941841358&source=48


หนังสือ โรงเรียนทางเลือก เลือกให้แน่ไม่แพ้ฟินแลนด์ เล่ม 1 และเล่ม 2 
https://m.facebook.com/photo.php?fbid=10157195806576359&id=179962701358&set=a.182941841358&source=48

หนังสือที่สั่งสมจากประสบการณ์ตรงของแม่ลูกสอง จากประสบการณ์ทำงานกว่า 25 ปี ได้สัมภาษณ์คนมาสมัครงานจำนวนหลายพัน เมื่อเธอมีลูก เธอก็เริ่มต่อจิ๊กซอว์บางอย่าง ว่าอะไรคือเหตุของปัญหาของคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ที่ต้องคอยบอกขั้นตอนอย่างละเอียดยิบ ต้องการประสบความสำเร็จเร็วๆ ไม่ต้องการคำติต้องการแต่คำตอบ และมักจะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุขแบบง่ายๆ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ค้นพบว่า สิ่งสำคัญที่มีผลกระทบกับเด็กๆ รุ่นใหม่นั้น มีผลโดยมากมาจากระบบการศึกษา

เมื่อได้ลงมือค้นหาคำตอบ จนพบว่า มีโรงเรียนในหลักสูตร Waldorf ของ Dr. Rudorf Steiner  ที่เน้นพัฒนาเด็กผ่านการลงมือทำ เน้นการสอดประสานความสอดคล้องผ่าน Hand Head Heart หนึ่งสมองสองมือและหนึ่งใจ เป็นการศึกษาแบบค่อยๆ ย่อย Slow digestion และมีวิธีป้อนความรู้แบบที่เด็กได้ว้าวด้วยตนเอง จึงทำให้เธอค้นพบคำตอบที่ไม่เพียงแต่จะมีผลดีกับลูกๆ ของเธอ และเธอยังแบ่งปันประสบการณ์ผ่านเพจ A Real Working Mom มากว่า 9 ปี จนเป็นเพจที่มีพ่อแม่หลายคนได้รับคำตอบที่ตัวเองต่างก็ค้นหามาเช่นกัน เป็นคู่มือพ่อแม่ ที่เหมาะกับเด็กแรกเกิดถึง 21 ปี ...

คำนำผู้เขียน
A Real Working Mom เกิดจากเพจเล็ก ๆ ที่ผู้เขียนได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ซึ่งผู้เขียนและแฟนเพจมักจะใช้เรียกแทนเพจและผู้เขียนเป็นชื่อย่อว่า ARWM (ในหนังสือนี้ก็จะมีการใช้คำนี้แทนตัวผู้เขียนตลอดทั้งเล่ม) เพจนี้ตั้งขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก ๆ ตามแนวทางการศึกษาวอลดอร์ฟ ประยุกต์กับความรู้ความเข้าใจของผู้เขียนเอง นอกจากความรู้ความเข้าใจในแนวทางเลี้ยงลูกที่ผู้เขียนได้รับมาจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ หรือจากที่ค้นพบได้ด้วยตนเอง ในเพจก็มักจะมีพ่อแม่ผู้มีความสงสัยหรือปัญหาในการเลี้ยงลูกมาสอบถามแลกเปลี่ยนความคิดอย่างสม่ำเสมอผู้อ่านสามารถติดตามเพจ https://facebook.com/ARealWorkingMom เพื่ออ่านบทความอื่น ๆ และพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นบนเพจได้ทุกวันเช่นกันค่ะ
http://www.babybestbuy.in.th/shop/Alternative-school_by_a-real-working-mom




วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ให้(คลิป)

-รู้ว่าการไม่มีเป็นอย่างไร

***************



หลวงปู่“ทานคือการเสียสละ แม้ด้วยชีวิต“




ในชีวิตคุณต้องการอะไรมากที่สุด (ไทยประกันชีวิต)

https://youtu.be/uaWA2GbcnJU



https://youtu.be/fqLmKSdKsxU

เอิร์ทสดชื่น ร้านโจ๊กคุณป้าหลังและขาใส่เหล็ก
https://youtu.be/knEkgqZDMB0

พิมรี่พาย“แค่วันว่างชองคุณก็ช่วยคนอื่นได้“เหมาหมดเอาไปแจกคนด้อยกว่า
https://youtu.be/E15cBbv-AoI



สปอนเซอร์เกมส์ให้เงินมา https://youtu.be/KPju2lhnBqA

เขาช่วยประเทศ ทำหน้ากากแจกฟรี ให้รพ.
https://youtu.be/PyIDqYd9IZ0



ต่อก็อกน้ำหน้าบ้านให้ล้างมือ
https://youtu.be/vtvry30-Ak0

สุขโภชนา

รู้แต่จะเอา เมื่อเจอคนที่มีแต่ให้ เปลี่ยนชีวิตได้นิ


ครูสตั้น วานรเทพ สอนไม่คิดเงิน



https://youtu.be/VygFYTwOKAA




ลุงติ๊ก โมเดลจิ๋ว
สิ่งสำคัญในชีวิตคือการได้เป็นตัวเองและได้ทำ...
ในสิ่งที่เรามีความสุข

พี่มีอะไรจะแบ่งให้ ผมอยากตอบแทนบุญคุณเขาบ้าง




ให้(รูปภาพ)







สุรัตนธรรม สถาน คลินิกเวชกรรมสุรัตน์หนึ่งบาท รักษาฟรี
วันนี้ผมภรรยาได้ไปทานอาหารที่เอ็มเค เห็นพนักงานใส่ชุดนักเรียนไปเสริพอาหารที่โต๊ะด้านข้าง เหลือบไปเห็นรองเท้าที่เขาใส่ยับเยินมาก ถ้าฝนตกคงเปียกแน่ ก่อนกลับผมได้ให้พนักงานไปเรียกนักเรียนคนนั้นมาหา เด็กเดินมาพร้อมผู้จัดการด้วยท่าทีตกใจ นึกว่าผมคงจะคอมเพลน ผมถามว่ารองเท้าขาดแล้วทำไมไม่ซื้อใหม่?เขายิ้มแบบซื่อๆ..ผมยื่นให้เขา300แล้วถามว่าพอค่ารองเท้าคู่ใหม่ไหม?เขายกมือไหว้แล้วบอก.."พอครับ" ดีนะประหยัดหาเงินเองไม่เป็นภาระแก่พอแม่ ใครเป็นพ่อแม่น่าภูมิใจ ผู้จัดการร้านยิ้มดีใจขอถ่ายรูปผมกับเด็ก ท่านทั้งหลายเด็กยากจนขยันหาเงินเรียนไปทำงานไป แตกต่างจากลูกคนมีเงินไม่เห็นคุณค่าของเงินเพราะไม่เคยลำบาก วันนี้ผมมีความสุขๆที่เรียบง่ายแต่...คิดถึงทีไรปิติทุกที!!!จริงๆนะครับ






***********
 - แม้จะเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่เสมอ




*******************

ผมก็คิดถึงเรื่องของน้องเขยของผม น้องเขยผมเป็นชาวอเมริกัน เขาอยากเป็นกลาสีเรือมาแต่เด็ก อยากจะเผชิญโลกกว้าง อยากจะลองเที่ยวรอบโลกแล้วค่อยกลับมาเรียนหนังสือ แม้พ่อของเขาจะเป็นหมอ ฐานะครอบครัวก็ดี แต่พ่อแม่กลับไม่ได้ให้เงินเขา และตัวเขาเองก็ไม่ได้ขอเงินจากทางบ้านด้วยเช่นกัน 

พอจบชั้นมัธยมปลาย เขาก็ไปอลาสกา ทำงานตัดไม้เพื่อเก็บเงิน เนื่องจากที่อลาสกานั้น กลางวันยาวนานกลางคืนสั้น กว่าพระอาทิตย์จะตกก็เป็นเวลาเที่ยงคืน และตีสามพระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว หากเขาทำงาน 16 ชั่วโมงใน 1 วัน เงินค่าจ้างตัดไม้ของหนึ่งฤดูกาล ก็จะทำให้เขาสามารถเที่ยวรอบโลกได้ 3 ฤดูกาล เขาเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลกเป็นเวลา 2 ปี จึงค่อยกลับมาเรียนมหาวิทยาลัย 

เนื่องจากเขาเรียนเลือกคณะที่ตัวเองได้ผ่านการตัดสินใจ และครุ่นคิดเลือกสรรอย่างรอบคอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงเก็บหน่วยกิตของ 4 ปีได้ครบภายในเวลาเพียง 3 ปี แล้วออกมาทำงาน 

การงานของเขาดำเนินไปอย่างราบรื่น กล่าวได้ว่าก้าวหน้าเร็วมาก จนได้เป็นหัวหน้าวิศวกร

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง เขาบอกว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาทั้งชีวิตเลยทีเดียว 

ตอนที่เขาทำงานอยู่ในอลาสกา ขณะที่เขากับเพื่อนคนหนึ่งอยู่บนภูเขา ก็ได้ยินเสียงหมาป่าครางโหยหวน เขาสองคนจึงออกค้นหาไปทั่วบริเวณด้วยความตกใจ สุดท้ายไปเจอแม่หมาป่าตัวหนึ่งถูกกับดักสัตว์หนีบขา และกำลังร้องครวญครางโหยหวนอยู่ เขาเห็นกับดักสัตว์หน้าตาประหลาดนั้นปุ๊บ ก็ทราบทันทีว่าเป็นของคนงานเฒ่าคนหนึ่ง คนงานเฒ่าคนนั้นมักดักจับสัตว์เป็นงานอดิเรก เพื่อจะนำหนังสัตว์ไปขายเสริมรายได้งานในครอบครัว

แต่คนงานเฒ่าคนนี้เพิ่งจะถูกเฮลิคอปเตอร์พาไปส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ด้วยอาการโรคหัวใจ ดังนั้นแม่หมาป่าตัวนี้จึงมีโอกาสอดตาย เพราะไม่มีใครมาช่วยจัดการ

เขาคิดจะปล่อยแม่หมาป่า แต่แม่หมาป่าดุมากจนไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆ ได้เลย เขายังเห็นด้วยว่าแม่หมาป่ามีน้ำนมหยดจากเต้านม แสดงว่ามีลูกอ่อนรออยู่ในรัง ดังนั้น เขากับเพื่อนจึงพยายามค้นหารังหมาป่าอย่างสุดความสามารถ และหาพบในที่สุด จากนั้นจึงอุ้มลูกหมาป่าทั้งสี่ตัวมาที่แม่หมาป่าเพื่อให้มันป้อนนมลูก ลูกมันจะได้ไม่อดตาย พวกเขาแบ่งเสบียงให้แม่หมาป่า มันจะได้รอดชีวิตต่อไป กลางคืนยังต้องตั้งแคมป์อยู่ใกล้ๆ เพื่อจะได้ช่วยคุ้มครองพวกมันได้ เพราะแม่หมาป่าโดนกับดักหนีบไว้ จึงป้องกันตัวเองไม่ได้ จนถึงวันที่ 5 ตอนที่เขาไปป้อนอาหาร พบว่าหางของแม่หมาป่ากระดิกเบาๆ จึงทราบว่าเริ่มได้รับความไว้วางใจจากแม่หมาป่าแล้ว ผ่านไปอีก 3 วัน แม่หมาป่าถึงได้ยอมให้เขาเข้าใกล้เพื่อจะได้ปลดกับดักสัตว์ออกให้

หลังจากแม่หมาป่าเป็นอิสระ ก็เลียมือของเขา ยอมให้เขาใส่ยารักษาแผลที่ขาให้ แล้วค่อยพาลูกๆ จากไป ระหว่างเดินจากไปยังหันกลับมามองพวกเขาอยู่หลายครั้ง

เขานั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่แล้วคิดว่า หากมนุษย์สามารถทำให้สัตว์ป่าที่ดุร้ายเลียมือตัวเอง และกลายเป็นเพื่อนกันได้ แล้วจะไม่สามารถทำให้มนุษย์ด้วยกันวางอาวุธลง และยอมเป็นเพื่อนด้วยได้เชียวหรือ? เขาตัดสินใจว่านับจากนี้ไปจะแสดงความเป็นมิตรแก่คนอื่นก่อน เพราะเขาได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้แล้วว่า ต้องแสดงความจริงใจของเราเองก่อน อีกฝ่ายจึงจะยอมแสดงความจริงใจตอบ (เขายังพูดล้อเล่นว่าหากไม่เป็นเช่นนี้ล่ะก็ อีกฝ่ายก็คงเทียบไม่ได้กระทั่งเดรัจฉานแล้ว) 

ดังนั้น เวลาทำงานในบริษัท เขาจึงมักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ เขาจะสมมติก่อนว่าคนอื่นนั้นมีเจตนาดี แล้วค่อยไปคิดหาเหตุผลในพฤติกรรมของคนคนนั้น เขามักช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ถือสาหาความเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงได้เลื่อนตำแหน่งทุกปี และก้าวหน้าเร็วมาก ที่สำคัญที่สุดคือ เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวัน 

คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมักมีความสุขกว่าคนที่ได้รับความช่วยเหลือมาก แม้เขาจะไม่ทราบว่าคนจีนมีคำกล่าวว่า "เป็นผู้ให้มีความสุขกว่าเป็นผู้รับ"

แต่ชีวิตของเขาได้ยืนยันความจริงของประโยคนี้แล้ว 

เขาบอกผมว่า เขารู้สึกขอบคุณประสบการณ์ในอลาสกาอย่างมาก เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อเขาไปชั่วชีวิต 

ซึ่งก็จริง มีเพียงสิ่งที่ตัวเราปรารถนาเท่านั้นที่เราจะทะนุถนอม 
มีเพียงลูกพลับที่เคยผ่านน้ำค้างแข็งมาแล้วเท่านั้นที่จะมีรสหวาน
คนก็เช่นกัน ต้องผ่านการฝึกฝนขัดเกลา จึงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์ 

หากคนคนหนึ่งเรียนจนจบมหาวิทยาลัย แล้วยังไม่รู้อีกว่าตัวเองอยากจะทำอะไร ก็สมควรจะส่งเขาไปฝึกฝนขัดเกลาตัวเองในโลกภายนอกเสียบ้าง แล้วอย่าให้เงินเขา ให้เขาหาเงินเลี้ยงปากท้องเอง ให้โอกาสเขาไปแสวงหาตัวตนของตัวเอง และสัมผัสกับชีวิต เชื่อว่าเขาย่อมได้พบกับประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขา


****************









นักมวยสร้างบ้านให้คนจนกว่า1,000 หลัง
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1485340758182074&id=100001184910424







*****






เช่นนี้ จึงจะสมควรเรียกว่า...ยอดคน
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1314821561900662&id=100001184910424

ชายชราที่ดูยากจนและแสนธรรมดา แต่สิ่งที่เขาทำ กลับทำให้มหาเศรษฐีของโลก อย่าง Bill Gates และ Warren Buffett นับถือและนำมาเป็นแบบอย่าง

Chuck Feeney ชายชราวัย 76 ปี เช่าบ้านอาศัยอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกกับภรรยา เขาไม่เคยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม เขาไม่ชอบทานอาหารหรู ที่เขาชอบที่สุดคือแซนวิชชีสย่างมะเขือเทศที่ราคาแสนถูก เขาใช้แว่นตาเก่าๆ ใส่นาฬิกาธรรมดา และไม่มีรถขับ การเดินทางก็มักใช้บริการรถโดยสาร

หากคุณไปทานอาหารกับเขา เขาจะตรวจสอบบิลอย่างละเอียด หากคุณอาศัยอยู่ในบ้านของเขา ก่อนที่จะเข้านอน เขาจะเตือนให้คุณปิดไฟอย่างแน่นอน

คนจนที่มัธยัสถ์เช่นนี้ คุณรู้ไหม ก่อนเขาอายุ 76 เขาได้ทำอะไรมาบ้าง?

เขาได้บริจาคเงิน 588,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล โดยห้ามมหาวิทยาลัยไ่ม่ให้ประกาศชื่อผู้บริจาค
บริจาค 125,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
และบริจาค 60,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต

เขายังได้ลงทุน 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง และอีก 2 แห่งในไอร์แลนด์เหนือ

เขาจัดตั้งกองทุนการกุศล ให้ค่ารักษาพยาบาลฟรี สำหรับเด็กปากแหว่ง ในประเทศที่กำลังพัฒนา

เขาได้บริจาคเงินทั้งสิ้น 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีอีก 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ รอที่จะบริจาค

ชายชราผู้ใจกว้างมากท่านนี้ เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของ DFS บริษัทดิวตี้ฟรีอันดับ 1 ของโลก เขารักการหาเงิน แต่จะใช้เงินอย่างประหยัดมาก

ขณะนี้ Chuck Feeney มีความปรารถนาว่า ก่อนปี 2016 เขาจะบริจาคเงินที่เหลือให้หมด เพื่อจะได้ตายตาหลับ ขณะนี้เงินที่เหลืออยู่ได้กระจายไปทั่วโลกให้พื้นที่จำเป็น ในอัตรา 400,000,000 เหรียญสหรัฐ ต่อปี

เขาเป็นตัวอย่างสำหรับคนรวยที่ว่า "ในขณะที่มีความสุขกับชีวิต ให้แบ่งปันความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วย"

การทำการกุศลของ Chuck Feeney เป็นที่โด่งดังมาก ผู้สื่อข่าวจำนวนมากเดินทางมาถึงบ้านของเขา ทุกคนล้วนแปลกใจ และถามว่า "Chuck Feeney คุณมีทรัพย์สินมากมาย ทำไมถึงไม่ไปมีชีวิตที่สวยหรู..."

เพื่อตอบข้อสงสัยของทุกคน Chuck Feeney ยิ้มและบอกเล่าเรื่องราว:

"สุนัขจิ้งจอก พบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้ อยากจะเข้าไปในไร่ เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่ แต่มันอ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไปไม่ได้"

"ดังนั้นมันจึงไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน และแล้วตัวมันก็ผอมลง และมุดผ่านรั้วไปได้!"

"เมื่อกินอิ่มเป็นที่พึงพอใจแล้ว แต่…ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือก มันเลยต้องอดน้ำอดอาหาร อีกสามวันสามคืน"

"สุดท้ายแล้วท้องของมันตอนที่ออกมาก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไป"

เมื่อเล่าเสร็จ Chuck Feeney กล่าวว่า

"บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็ จากไปมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งกลับไปได้ "

สื่อถาม Chuck Feeney ทำไมต้องบริจาคออกไปจนหมด

คำตอบของเขาง่ายมาก และไม่มีใครคาดถึง เขากล่าวว่า "เพราะถุงศพไม่มีกระเป๋า"

ที่จริงแล้วความจนของเขา เกิดจากการบริจาคเงินมหาศาล เขาช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สิ่งที่เขาได้มา ได้ส่งคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด มันทำให้เขามีความสุขมากกว่ามีเงินเป็นหมื่นล้านเสียอีก...
*****













เข็นครับเข็น







การให้คือการสื่อสารที่ดีที่สุด



[@Patteve Sara]_ได้โพสต์ไว้ว่า: เราประทับใจกระเป๋ารถเมล์สาย52คันนี้มาก บริการดีมาก ขึ้นลงบอกทุกป้ายขนาดผู้หญิงคนนึงยืนจะยื่นค่าโดยสารให้ เขาบอกว่าให้นั่งก่อน แล้วค่อยจ่ายตัง
CREDIT: @Patteve Sara |https://goo.gl/M6ChfO —(10/1/59)
*************************
ขอบคุณเรื่องแนะนำจาก––@Patteve Sar




แม่ผม ต่อให้ขายของกลับมาเหนื่อยแค่ไหน หรือต่อให้เป็นวันหยุดพักผ่อนที่แสนสบายก็ตาม แม่ก็ยังคงหาอาหารมาให้เหล่าสุนัขจรจัดทุกวัน เพียงเพราะคำว่า "สงสารมัน กลัวมันหิว กลัวมันอดตาย"

                                     เค้าต่างจากคนอื่นที่ตรงไหน






https://www.facebook.com/photo.php?fbid=970168173037554&set=a.801395176581522.1073741828.100001331427996&type=3&theater